“นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์” เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ฉายภาพการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม BCG ของประเทศไทยว่า การลงทุนอุตสาหกรรมในกลุ่มบีซีจี มีต่อเนื่อง โดยบีโอไอมีแผนขับเคลื่อนการลงทุนเชิงรุก ตามแนวคิด BCG และการเปลี่ยนผ่านสู่การลงทุนสีเขียวเพื่อสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกและสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศผ่าน 5 อุตสาหกรรม ประกอบด้วย อุตสาหกรรมการแพทย์ อุตสาหกรรมเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมเคมี และปิโตรเลียม อุตสาหกรรมบริการที่มีมูลค่าสูง และอุตสาหกรรมสาธารณูปโภค

บีโอไอมีเป้าหมายในการทำให้มูลค่าเศรษฐกิจอุตสาหกรรม BCG เพิ่มขึ้นจาก 21% เป็น 24% ของ GDP ในปี 2570 หรือจาก 3.4 เป็น 4.4 ล้านล้านบาท (เป้าประเทศ) และมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลาง BCG (ฮับ) ของอาเซียน

“ที่ผ่านมาบีโอไอได้ผลักดัน 5 นโยบายสำคัญ เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมยุคใหม่ ได้แก่ การขนส่งสีเขียว, การพัฒนาด้านเทคโนโลยี, การพัฒนาและการดึงดูดบุคคลที่มีความสามารถพิเศษให้เข้ามาทำงานในประเทศ, การส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบกลุ่ม และการทำให้เกิดความสะดวกในการลงทุน และกำหนดเงื่อนไขพิเศษให้บางกิจการต้องทำ เพื่อให้มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น”

สำหรับสถิติคำขอรับการส่งเสริม กิจการกลุ่ม BCG ในช่วงปี 2558– 2567 มีการลงทุนใน กลุ่ม BCG เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง มีมากกว่า 5,380 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 1.15 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น อุตสาหกรรมการแพทย์ 76 โครงการ เงินลงทุน 13,816 ล้านบาท อุตสาหกรรมเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ จำนวน 2,211 โครงการ เงินลงทุน 639,490 ล้านบาท อุตสาหกรรมเคมี และปิโตรเลียม จำนวน 135 โครงการ เงินลงทุน 31,201 ล้านบาท อุตสาหกรรมบริการที่มีมูลค่าสูง จำนวน 21 โครงการ เงินลงทุน 1,473 ล้านบาท และอุตสาหกรรมสาธารณูปโภค จำนวน 2,937 โครงการ เงินลงทุน 464,564 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามปีนี้บีโอไอมีแผนจัดทัพบุกประเทศเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ทั้งจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ตะวันออกกลาง สหรัฐ
อเมริกา และยุโรป เพื่อดึงการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง รวมทั้งต่อยอดฐานอุตสาหกรรมสำคัญในประเทศไทยให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการไทย และขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

โดยปี 67 ไทยมีการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ในทุกอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่อง มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 2,050 โครงการ เพิ่มขึ้น 51% เงินลงทุนรวม 832,114 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% ประเทศ หรือเขตเศรษฐกิจที่มีมูลค่าขอรับการส่งเสริมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. สิงคโปร์ 357,540 ล้านบาท 305 โครงการ 2.จีน 174,638 ล้านบาท 810 โครงการ 3. ฮ่องกง 82,266 ล้านบาท 177 โครงการ 4.ไต้หวัน 49,967 ล้านบาท 126 โครงการ และ 5.ญี่ปุ่น 49,148 ล้านบาท 271 โครงการ

ขณะที่สหรัฐอเมริกา มีเงินลงทุน 25,739 ล้านบาท 66 โครงการ แต่หากนับรวมตัวเลขที่ลงทุนผ่านสิงคโปร์แล้ว จะมีมูลค่ารวมกว่า 70,000 ล้านบาท เนื่องจากการลงทุนของสิงคโปร์ที่สูงขึ้นมาก เกิดจากการลงทุนขนาดใหญ่ของบริษัทที่มีบริษัทแม่เป็นสัญชาติจีนและสหรัฐอเมริกา

“ท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทายจากสงครามการค้าและปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลก ประเทศไทยได้พิสูจน์ให้เห็นถึงจุดแข็งในการเป็นแหล่งรองรับการลงทุนที่มีความเป็นกลางและน่าเชื่อถือของภูมิภาค โดยมหาอำนาจทั้งจีนและสหรัฐอเมริกาได้เพิ่มการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกลุ่มนักลงทุนหลักอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ฮ่องกง ไต้หวัน และยุโรป ก็ยังเดินหน้าขยายการลงทุนในไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ ดาต้าเซ็นเตอร์และบริการคลาวด์ที่รองรับเทคโนโลยี AI และดิจิทัลขั้นสูง ยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญ และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ โดยอุตสาหกรรมเหล่านี้จะมีความสำคัญต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ช่วยต่อยอดฐานอุตสาหกรรมเดิมให้มั่นคง สร้างมูลค่าจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ สร้างงาน และสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทย”.