นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม เปิดเผยว่า นายเปาโล ดีโอนีซี (H.E. Mr. Paolo Dionisi) เอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทย ได้เข้าพบ เพื่อเยี่ยมคารวะ และหารือเกี่ยวกับความร่วมมือทวิภาคีด้านการคมนาคมขนส่งระหว่างกัน อาทิ การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) หรือ สทร. และบริษัท Blue Engineering S.r.l เพื่อสนับสนุนการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ และสนับสนุนความร่วมมือในโครงการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีระบบราง คาดว่า MOU ดังกล่าวจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการออกแบบ และผลิตรถไฟด้วยตนเอง

โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย และมีมาตรฐานระดับโลก ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิต และการบำรุงรักษาถูกกว่าการนำเข้า สามารถรองรับการผลิตตามคำสั่งซื้อในประเทศ และส่งออกไปยังต่างประเทศได้อีกด้วย ตลอดจนการลงนาม MOU ระหว่าง สทร. และบริษัท MERMEC Group ซึ่งเป็นความร่วมมือในการส่งเสริมศักยภาพนวัตกรรม และการพัฒนาเทคโนโลยีราง โดยจะมีการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านเทคนิค และร่วมกันวิจัยคิดค้นพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ

นอกจากนี้ยังมีการลงนาม MOU ระหว่าง สทร. และบริษัท Nplus S.r.l เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีทางรถไฟ การสร้างสรรค์นวัตกรรม และการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมรถไฟของประเทศไทย ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของสองประเทศในการพัฒนาอุตสาหกรรมรถไฟในอนาคต เนื่องจากบริษัท Nplus S.r.l. เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี Structural Health Monitoring (SHM) โดยการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ตรวจสอบ วิเคราะห์ และบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานระบบราง เพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบรางของไทยสู่มาตรฐานสากล และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า อีกทั้งยังร่วมมือในการปรับปรุงขบวนรถไฟหรูเพื่อการท่องเที่ยว โดยนายเปาโล บาร์เล็ตต้า (Mr. Paolo Barletta) กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท Arsenale ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินการเพิ่มความหรูหรา (Luxury) ให้กับภาคบริการต่างๆ ได้เสนอความประสงค์ที่จะเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพื่อปรับปรุงขบวนรถไฟสำหรับการให้บริการในระดับ Luxury ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการสร้างประโยชน์ในการให้บริการที่หลากหลายแก่ประชาชน รวมถึงสร้างรายได้ให้กับ รฟท. ในระยะยาว

รวมทั้งยังเป็นการสนับสนุนนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาลอีกด้วย และภายในปีนี้จะมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการขนส่งทางราง ซึ่งจะช่วยให้ภาคเอกชนสามารถใช้ประโยชน์จากรางของ รฟท. ในการขนส่ง และเป็นโอกาสอันดีกับภาคเอกชนของอิตาลีในการเข้าร่วมลงทุนเพื่อปรับปรุงขบวนรถไฟของไทยให้มีการบริการในระดับ Luxury ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบรางของไทยได้ อย่างไรก็ตาม กระทรวงคมนาคมหวังว่าจะได้มีความร่วมมือกับอิตาลีสำหรับโครงการอื่นๆ เพิ่มเติมในการพัฒนาด้านการคมนาคมขนส่ง อันจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศต่อไป