สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 17 ม.ค. ว่า นายสกอตต์ เบสเซนต์ ซึ่งนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ เสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง รมว.การคลัง เข้าพบคณะกรรมาธิการการเงินของวุฒิสภา ตามกระบวนการพิจารณาคุณสมบัติ


ทั้งนี้ เบสเซนต์วิจารณ์การใช้จ่ายงบประมาณของรัฐบาลอวอชิงตันชุดปัจจุบัน ทำให้เกิดการขาดดุลงบประมาณในอัตราที่สูง และเน้นความจำเป็นของการรักษาความปลอดภัยและเสถียรภาพ ให้กับห่วงโซ่อุปทานที่ยังคงเปราะบาง และการใช้มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐนับจากนี้ “ต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น”


ขณะเดียวกัน เบสเซนต์เรียกร้อง การบัญญัติให้กฎหมายภาษีฉบับปี 2560 ในยุครัฐบาลทรัมป์สมัยแรก “เป็นมาตรการถาวรทั้งหมด” เนื่องจากบางมาตราจะหมดอายุสิ้นปีนี้ หากสภาคองเกรสไม่ดำเนินการ ชาวอเมริกันจะต้องเผชิญกับมาตรการขึ้นภาษีครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ มีมูลค่าสูงถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 138.19 ล้านล้านบาท) ซึ่งชนชั้นกลางและชนชั้นแรงงาน หรือ กลุ่มรากหญ้า จะได้รับผลกระทบมากที่สุด


เกี่ยวกับการคว่ำบาตรรัสเซีย เบสเซนต์กล่าวว่า สนับสนุนการเดินหน้ากดดันอุตสาหกรรมน้ำมันของรัสเซีย โดยในระหว่างนี้ สหรัฐต้องหาทางเพิ่มอุปทานของตัวเอง เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้กับรัสเซียในเรื่องนี้ รวมถึงอิหร่านด้วย


ในประเด็นกำแพงภาษี เบสเซนต์ไม่คิดว่า จะกลายเป็นการผลักภาระให้ผู้บริโภคชาวอเมริกันต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น เพราะมาตรการนี้คือการสร้างรายได้ให้กับสหรัฐ และแก้ไขปัญหาการค้าไม่เป็นธรรม ที่เกิดขึ้นมานานกับอเมริกา


ในด้านความสัมพันธ์กับจีน เบสเซนต์กล่าวว่า สหรัฐต้องรักษาความเป็นผู้นำเหนือจีน ทั้งในด้านปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และเซมิคอนดักเตอร์ และสหรัฐต้องขึ้นภาษีสินค้าเกษตรของจีน และแก้ไขความไม่สมดุลทางการค้า เพื่อไม่ให้สินค้าจีน “ล้นตลาด” ของสหรัฐ


เกี่ยวกับนโยบายการเงิน เบสเซนต์ยืนยันว่า การทำงานของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) “ต้องเป็นอิสระจากทำเนียบขาว” ดอลลาร์สหรัฐต้องเป็นสกุลเงินสำรองหลักของโลกต่อไป และไม่สนับสนุนการใช้สกุลเงินดิจิทัล โดยกล่าวว่า “ไม่มีเหตุผล” ที่สหรัฐต้องมีสกุลเงินดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม เบสเซนต์มองว่า สหรัฐเป็นประเทศที่ “รัฐบาลมีปัญหาด้านการใช้จ่าย” แต่เน้นย้ำว่า หากได้รับการอนุมัติจากวุฒิสภา เขาจะไม่มีทางปล่อยให้การผิดนัดชำระหนี้เกิดขึ้น.

เครดิตภาพ : AFP