สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 18 ม.ค. ว่า องค์คณะตุลาการศาลฎีกาของสหรัฐ มีมติเป็นเอกฉันท์ทั้ง 9 เสียง ว่ากฎหมาย “ปกป้องชาวอเมริกันจากศัตรูต่างชาติซึ่งควบคุมแอปพลิเคชัน” ที่เรียกกันว่า “กฎหมายแบนติ๊กต็อก” ซึ่งประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลงนามให้มีผลบังคับใช้ เมื่อเดือน เม.ย. 2567 ไม่ได้ละเมิดสิทธิของการพูดอย่างเสรี
ขณะเดียวกัน ศาลเห็นพ้องกับรัฐบาล และสภาคองเกรส ในประเด็นความมั่นคงของชาติ จากการที่บริษัทไบต์แดนซ์ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงปักกิ่งของจีน เป็นเจ้าของติ๊กต็อก
คำพิพากษาของศาลสูงสุดสหรัฐ ยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับติ๊กต็อก จากการที่กฎหมายดังกล่าวระบุว่า ไบต์แดนซ์ต้องขายกิจการของติ๊กต็อกในสหรัฐ ภายในวันที่ 19 ม.ค. มิเช่นนั้น แอปพลิเคชันจะไม่สามารถเข้าถึงได้ในสหรัฐอีกต่อไป หรืออีกทางเลือกหนึ่ง คือการที่ไบต์แดนซ์ต้องยุติให้บริการติ๊กต็อกในสหรัฐ
U.S. Supreme Court Upholds TikTok Ban
— CSPAN (@cspan) January 17, 2025
Read opinion (27 pages) –> https://t.co/5XiQT7qshr pic.twitter.com/XQ58STaZit
ขณะที่แหล่งข่าวในทำเนียบขาวกล่าวว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งจะหมดวาระการเป็นผู้นำสหรัฐ ในช่วงหลังเที่ยงของวันที่ 20 ม.ค. นี้ ตามเวลาท้องถิ่น “จะไม่บังคับใช้” กฎหมายนี้ หมายความว่า อนาคตของติ๊กต็อกในสหรัฐ จะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่
ด้าน “ดิ อินฟอร์เมชัน” ซึ่งเป็นเว็บไซต์ข่าวด้านเทคโนโลยีของสหรัฐ รายงานว่า ติ๊กต็อกมีแผนยุติการดำเนินงาน “แบบเด็ดขาด” ในอเมริกา หากกฎหมายแบนมีผลบังคับใช้ โดยไม่มีการผ่อนปรนจากฝ่ายใด
Biden decides not to enforce looming TikTok ban — leaving Chinese app’s fate up to Trump as he returns to White House | Reporter Replay https://t.co/F00eDFgIwh pic.twitter.com/9A17cZ2030
— New York Post (@nypost) January 17, 2025
ทั้งนี้ ผู้ใช้งานในสหรัฐที่พยายามเข้าสู่ระบบของติ๊กต็อก หลังเส้นตายตามกฎหมาย จะพบกับข้อความแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับกฎหมายของสหรัฐ และคำแนะนำในการดาวน์โหลดข้อมูลส่วนตัวที่มีอยู่กับติ๊กต็อก
อย่างไรก็ตาม “เดอะ เวิร์จ” อีกหนึ่งเว็บไซต์ข่าวด้านเทคโนโลยีของสหรัฐ รายงานว่า ติ๊กต็อกยืนยันกับพนักงานทุกคนในสหรัฐว่า ตำแหน่งงาน ค่าตอบแทน และสวัสดิการที่ทุกคนได้รับอยู่นั้น “ยังเหมือนเดิม” และบริษัทยังคงเปิดตามปกติ แม้กฎหมายมีผลบังคับใช้แล้ว.
เครดิตภาพ : AFP