การแข่งขัน “จอมบึง มาราธอน” หนึ่งในรายการตำนานวงการวิ่งมาราธอนไทย ที่จัดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นักวิ่งแต่ละรายมุ่งมั่นตั้งใจเพื่อชนะการแข่งขัน หรืออย่างน้อยชนะตัวเอง ขณะเดียวกันมีนักวิ่งพิการทางสายตา วิ่งเท้าเปล่า พิชิตระยะฟูลมาราธอน 42.195 กิโลเมตร เข้าเส้นชัย สร้างความประทับใจให้กับผู้พบเห็น รวมทั้งต่างชื่นชมในความมุ่งมั่น

นักวิ่งที่พิการสายตา คือ “เอ๋” อนุพงศ์ สายสิทธิ์ โดยการวิ่งครั้งนี้ มี “โบว์” พญ.สัสยา คงสกุล “ไกด์รันเนอร์” ซึ่งวิ่งเคียงข้างนำทางไปตลอดเส้นทาง ตลอด 42.195 กม. จนสามารถทำผลงานได้ตามเป้าหมายของ “เอ๋-อนุพงศ์” คือใช้เวลาต่ำกว่า 5.30 ชั่วโมง

“โบว์” พญ.สัสยา คงสกุล ไกด์รันเนอร์ ให้สัมภาษณ์กับ “กีฬาเดลินิวส์” ถึงที่มาที่ไปในการนำทางนักวิ่งพิการสายตา พิชิตฟูลมาราธอน โดยทำสถิติส่วนตัวใหม่ (New PB) ว่า ตนเองเป็นนักวิ่งประจำอยู่แล้ว ลงฟูลมาราธอนปีละประมาณ 5 สนาม รู้จักกลุ่ม “วิ่งด้วยกัน” ทำกิจกรรมต่างๆ เช่น สนับสนุนคนพิการเล่นกีฬา ออกกำลังกาย เห็นประกาศทางเพจ พา “ไกด์รันเนอร์” พานักวิ่งตาบอด วิ่งฟูลมาราธอน งานจอมบึง ให้ได้เวลา 5.30 ชั่วโมง จึงสมัครเข้ามา

คุณหมอนักวิ่ง กล่าวต่อไปว่า สำหรับ “เอ๋” อนุพงศ์ นั้น มองเห็นแค่ลางๆ ไม่เป็นรูปร่าง จริงๆ ก็วิ่งมาราธอนมาแล้วหลายรายการ เป็นที่รู้จักในกลุ่มนักวิ่ง สู้มาทุกสนาม วิ่งมาแล้ว 19 สนาม แต่ก่อนหน้านี้สถิติดีสุดคือ 6.15 ชั่วโมง ดังนั้นกับการทำเวลา 5.30 ชั่วโมง จึงต้องเร็วกว่าเดิมถึง 45 นาที แต่ก็ไม่รู้จักส่วนตัว เมื่อรับหน้าที่นี้ จึงติดต่อพูดคุย วางแผนซ้อมด้วยกัน เพราะการทำเวลาให้เร็วขึ้น 45 นาที ก็ไม่ใช่ง่ายๆ

“โบว์ไปเรียนรู้มาแล้วว่าเราจะไกด์ยังไง ส่งสัญญาณยังไง อย่างอื่นไม่ค่อยมีอุปสรรค อุปสรรคจริงๆ น่าจะความแข็งแรงของพี่เอ๋ แต่พี่ใจสู้มาก ตลอด 42 กม. ไม่เดินเลย วิ่งอย่างเดียว หยุดเฉพาะกินน้ำ กินอาหาร พอเราหันไปเห็นเหนื่อยหอบ แต่บอกสู้ โบว์ก็กลัวใจตัวเองจะเห็นใจแก แล้วผ่อนฝีเท้า ก็พยายามรักษาความเร็วให้ได้ตามเวลา เรื่องอื่นไม่มีอะไร ก่อนจบแบบปลอดภัย” พญ.สัสยา กล่าว โดยทั้งคู่เข้าเส้นชัยทำเวลาได้ 5.28 ชั่วโมง จบตามเป้าหมาย

พญ.สัสยา คงสกุล กล่าวต่อไปว่า เมื่อเข้าเส้นชัย “เอ๋” อนุพงศ์ บีบมือตนเองแน่น ด้วยความดีใจ ก็ขอบคุณกัน จากนั้นได้บอกตนเองว่า เป็นการวิ่งมาราธอนที่เร็วที่สุดในชีวิต จึงถามว่า เหนื่อยไหม เอ๋ อนุพงศ์ ตอบว่า เหนื่อยแต่มีความสุขมากๆ

“ส่วนเรื่องเท้าเปล่าวิ่ง ไม่ใส่รองเท้านั้น โบว์ก็เพิ่งรู้เช้าก่อนวิ่งเลย เข้าใจว่าอาจหารองเท้าที่พอดียาก เมื่อลองถอดรองเท้าแล้วถนัดกว่า เท้าได้สัมผัสถนนจริงๆ เลยวิ่งเท้าเปล่ามา 15 สนามแล้ว นี่ก็เป็นจุดหนึ่งที่ต้องระวังการบาดเจ็บ”

พญ.สัสยา กล่าวด้วยว่า รู้สึกดีที่นอกจากได้วิ่งแล้ว ยังได้ร่วมวิ่ง ช่วยเหลือกัน ซึ่ง “เอ๋” อนุพงศ์ ก็สร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองเช่นกัน กับความใจสู้ ไม่ยอมแพ้แม้มีอุปสรรคสำคัญ.