วานนี้ (28 ม.ค. 68) สำนักข่าวนิวยอร์กโพสต์รายงานกรณีวิเคราะห์ผู้ป่วยสาวที่มีอาการปวดคอหลังจากออกกำลังกาย แต่เลือกการรักษาด้วยวิธีนวดจัดกระดูก และหลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ เธอก็เสียชีวิต  

ผู้ป่วยสาวรายนี้คือโจแอนนา โควาลซิก วัย 29 ปี จากเกตส์เฮดในเมืองนิวคาสเซิล ประเทศอังกฤษ เธอมีอาการปวดคอมานาน ตั้งแต่ปี 2564 แต่แทนที่จะเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล เธอกลับเลือกใช้การรักษาแบบแพทย์ทางเลือก

รายงานข่าวระบุว่า สันนิษฐานว่าอาการของโควาลซิกคืออาการบาดเจ็บเนื่องจากหลอดเลือดแดงฉีกขาด หลังจากที่เธอได้รับบาดเจ็บที่คอระหว่างเข้าคลาสออกกำลังกายกับเทรนเนอร์ส่วนตัวที่ฟิตเนสแห่งหนึ่งในเดือนกันยายน 2564 เดิมทีเธอมีอาการผิดปกติของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันอยู่แล้ว ซึ่งทำให้เธอเสี่ยงต่อการบาดเจ็บประเภทนี้มากขึ้น

นอกจากนี้ โควาลซิกยังมีอาการปวดศีรษะไมเกรนเป็นประจำ อีกทั้งปัญหาข้อเสื่อม แม้ว่าทั้งหมดนี้จะมีการแจ้งไว้ในประวัติการรักษาของเธอ แต่คาดว่านักไคโรแพรคติกบำบัดหรือหมอนวดจัดกระดูกคงไม่ได้ตรวจสอบประวัติทางการแพทย์ของเธอ 

หลังจากที่โควาลซิกเข้ารับการรักษาจัดกระดูกคอ เธอก็ได้รับบาดเจ็บ มีภาวะหลอดเลือดแดงฉีกขาดซ้ำที่บริเวณเดิม ซึ่งส่งผลให้เธอเสียชีวิต

ในตอนแรก โควาลซิกไปรับการรักษาอาการปวดคอที่แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาล หลังจากที่ได้ยินเสียงกระดูกคอลั่นระหว่างออกกำลังกาย เธอเข้ารับการทำซีทีสแกนและแพทย์แนะนำว่าเธอควรเจาะน้ำไขสันหลังออกมาเพื่อตรวจว่ามีอาการเลือดออกในสมองหรือไม่

แต่โควาลซิกกลับตัดสินใจยุติการไปโรงพยาบาลแล้วเลือกไปรักษากับหมอนวดจัดกระดูกแทน เธอแจ้งหมอนวดจัดกระดูกว่าเธอไปหาหมอที่โรงพยาบาลและทำซีทีสแกนมาแล้ว แต่เขากลับไม่ใส่ใจจะตรวจดูประวัติการรักษาของเธอ

โควาลซิกเข้ารับการรักษาด้วยการนวดจัดกระดูกสี่ครั้ง ระหว่างเดือนกันยายนถึงตุลาคม ในระหว่างการรักษาเมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการ “จัดกระดูกคอฝั่งซ้าย” โควาลซิกเริ่มมีอาการเวียนศีรษะและบ้านหมุนเฉียบพลัน ต่อมาเธอก็เห็นภาพซ้อน มีอาการเสียวซ่าที่มือขวาและเท้าขวา จากนั้นเธอก็อาเจียน

หมอจัดกระดูกแนะนำให้โควาลซิกไปโรงพยาบาล แต่เธอกลับเลือกที่จะพักอยู่ในคลินิกราวสองสามชั่วโมง 

ต่อมาในวันเดียวกัน ทีมกู้ชีพฉุกเฉินก็รับตัวเธอไปรักษาหลังจากที่เธอเกิดอาการพูดไม่ได้ ซึ่งเข้าข่ายโรคหลอดเลือดสมอง แต่แพทย์กลับวินิจฉัยว่าเธอเป็นไมเกรน หลังจากได้รับทราบว่าหลังจากจัดกระดูกแล้วอาจมีอาการเวียนศีรษะและไมเกรนได้

ผลจากการสอบสวนพบว่า เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ไม่ทราบว่า อาการของโรคหลอดเลือดสมองอาจหยุดลงได้เองภายในระยะเวลาสั้นๆ พวกเขากล่าวว่าจะนำตัวเธอไปโรงพยาบาลในวันนั้น หากเธอไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เอง

ในวันต่อมา โควาลซิกก็รู้สึก “ไม่สบายอย่างมาก” และสติรับรู้ของเธอลดลงเรื่อย ๆ จึงมีการเรียกทีมกู้ชีพฉุกเฉินมาอีกครั้ง ขณะอยู่ในรถพยาบาล เธอมีอาการแย่ลงจนใส่ท่อช่วยหายใจ 

ผลจากการถ่ายภาพสแกนสมองของเธอพบเนื้อเยื่อสมองตายและมีรอยฉีกขาดที่ผนังหลอดเลือดบริเวณลำคอ โควาลซิกเสียชีวิตในอีก 2 วันต่อมา เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2567

เลลา เบเนียนส์ ผู้ช่วยแพทย์นิติเวชประจำเมืองเกตส์เฮดและเซาท์ไทน์ไซด์ สรุปผลชันสูตรว่า โควาลซิกเสียชีวิตจากผลที่ตามมาของ “การรักษาด้วยการนวดจัดกระดูก ตามด้วยภาวะทางการแพทย์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ”

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เธอได้เผยแพร่ผลการค้นพบของเธอ โดยเรียกร้องให้สภาแห่งไคโรแพรคติกบำบัดกำหนดกฎเกณฑ์ที่สนับสนุนให้นักไคโรแพรคติกบำบัดต้องตรวจสอบประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วยก่อนทำการรักษา

เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพเบเนียนส์กล่าวว่า ตามหลักฐานจากฝ่ายแพทย์ไคโรแพรคติกบำบัดที่ทำการรักษาโควาลซิกชี้ว่า เขาไม่เห็นว่าจำเป็นต้องขอดูประวัติการรักษาของผู้ป่วยก่อนการประเมินหรือการรักษา แม้ว่าจะได้รับแจ้งเกี่ยวกับการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลครั้งล่าสุดของผู้เสียชีวิต ซึ่งมีทั้งรายการตรวจร่างกายตามคำแนะนำ และการยุติการรักษาของทางโรงพยาบาลโดยขัดต่อคำแนะนำทางการแพทย์

เบเนียนส์ยังชี้อีกว่า แม้แต่ในแบบฟอร์มยินยอมเพื่อรับการรักษาฉบับล่าสุดซึ่งทำตามกำหนดของสมาคมไคโรแพรคติกแห่งสหราชอาณาจักร ก็ไม่มีการแจ้งหรือคำถามใดๆ เพื่อให้แพทย์ไคโรแพรคติกขอพิจารณาขอประวัติการรักษาก่อนการประเมินหรือการรักษาคนไข้ เธอจึงมองว่าควรมีการพิจารณาขอประวัติการรักษาก่อนการประเมินเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ป่วยได้รับการรักษาทางการแพทย์หรือการตรวจร่างกายที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน

ที่มา : nypost.com

เครดิตภาพ :  Serhii G. from Pixabay,  u_i8v3zqslrc from Pixabay