สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 1 ก.พ. ว่า นางแคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว กล่าวว่า การขึ้นภาษีสินค้าแทบทุกประเภทจากแคนาดาและเม็กซิโก ตามคำสั่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะมีผลในวันที่ 1 ก.พ. นี้ โดยจะอยู่ที่อัตรา 25% เนื่องจากทั้งสองประเทศไม่สามารถจัดการสถานการณ์ผู้อพยพผิดกฎหมาย และการปราบปรามยาเสพติดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเฟนทานิล
.@PressSec: "The president will be implementing tomorrow a 25% tariffs on Mexico, 25% tariffs on Canada and a 10% tariff on China for the illegal fentanyl that they have sourced and allowed to distribute into our country which has killed tens of millions of Americans." pic.twitter.com/lSoLuL9Lk5
— CSPAN (@cspan) January 31, 2025
ขณะที่อัตราภาษีสำหรับสินค้าจากจีน ในอัตรา 10% จะมีผลในวันที่ 1 ก.พ. นี้เช่นกัน ซึ่งเลวิตต์ให้เหตุผลว่า เป็นเพราะจีนคือต้นตอการส่งออกของเฟนทานิล
นอกจากนี้ โฆษกทำเนียบขาวกล่าวว่า มาตรการขึ้นภาษีน้ำมันของแคนาดาที่จะแยกต่างหาก โดยมีอัตรา 10% จะมีผลในวันที่ 18 ก.พ. และสหภาพยุโรป (อียู) อาจเผชิญกับกำแพงภาษีเช่นกัน “จากการไม่สนับสนุนสินค้าของสหรัฐอย่างเพียงพอ”
Q: "Is there anything China, Canada and Mexico can do tonight to forestall your implementation of tariffs tomorrow?"
— CSPAN (@cspan) January 31, 2025
President Trump: "No. Nothing. Not right now." pic.twitter.com/xSNYjRjScl
เดิมที ทรัมป์เคยประกาศเตรียมขึ้นภาษีสินค้าจากจีน ในอัตราที่สูงถึง 60% พร้อมทั้งกล่าวด้วยว่า กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ “บริกส์” ที่จีนเป็นหนึ่งในสมาชิก อาจเผชิญกับอัตราภาษีสูงถึง 100% หากบริกส์เดินหน้าแผนการใช้สกุลเงินใหม่ในการค้าขาย แทนเงินดอลลาร์สหรัฐ
จนถึงตอนนี้ ผู้นำสหรัฐยังไม่เคยกล่าวอย่างชัดเจน ว่าจะใช้อำนาจตามกฎหมายแบบใด เพื่อให้มาตรการที่ว่ามานั้นมีผลทันทีในวันดังกล่าว แต่มีการคาดการณ์ว่า ทรัมป์อาจใช้ “อำนาจฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ” ที่อนุญาตให้ประธานาธิบดีบริหารจัดการการนำเข้าสินค้าสู่สหรัฐ “ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน”.
เครดิตภาพ : AFP