เมื่อวันที่ 3 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านเลขที่ 237 หมู่ 4 บ้านโพน ต.บ้านธาตุ อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี บ้านหลังใหม่ของนางจูมศรี สีกันยา อายุ 79 ปี และนาบัวสา สีกันยา อายุ 82 ปี แม่และพ่อของนางลำดวน สีกันยา ที่ถูกพบเป็นศพใกล้ลำธารในอุทยานยอร์คเชียร์ ตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งขณะนั้นเธออายุ 36 ปี แต่ขณะนั้นยังเป็นศพนิรนาม ชาวบ้านช่วยกันฝังศพเธอไว้ในสุสาน และเรียกเธอว่า “สตรีแห่งขุนเขา” จนมารู้ว่าเธอคือแม่ลูก 3 ชาว อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี โดยผู้ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยคือนายเดวิด อาร์มิเทจ อายุ 61 ปี สามีของเธอเอง ที่ย้ายมาสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยใน จ.กาญจนบุรี และเมื่อสัปดาห์ก่อน สตม. เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในประเทศไทย และถูกทางการไทยจับกุม ผลักดันออกนอกประเทศ
ผู้สื่อข่าวได้พบกับ นายบุญตรี สีกันยา อายุ 47 ปี บุตรชายคนที่ 5 ของนางจูมศรี และน้องชายของนางลำดวน “สตรีแห่งขุนเขา” ระบุว่า พ่อกับแม่ย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ถาวรแล้ว หลังจากเริ่มสร้างตั้งแต่ตรวจยืนยันว่า สตรีแห่งขุนเขาคือพี่สาวของตนเอง แม้ว่าบ้านจะไม่เสร็จสมบูรณ์ก็ตาม โดยบ้านหลังเก่าให้ตนเองอาศัย ส่วนกรณีของนายเดวิด สามีของพี่สาวนั้น ก็ขอให้ดำเนินการตามกฎหมาย แล้วแต่บุญแต่กรรม
ต่อมานางจูมศรี สีกันยา พร้อม นายบัวสา สีกันยา สามี กล่าวว่า ไม่อยากจะคุยเรื่องของลูกสาว เพราะเมื่อคุยไปแล้วก็จะคิดถึงลูก จึงสร้างบ้านใหม่แล้วย้ายมาอยู่ หลังเดิมลูกสาวเคยอยู่ที่นั่น และเคยซ่อมแซมบ้านหลังนั้นให้ด้วย แต่เมื่อมีข่าวนายเดวิดถูกจับกุม ก็ยังไม่รู้ว่าถูกจับกุมเรื่องไหน ยังไม่มีทางราชการมาบอก ก็ได้แต่ไปจุดธูปบอกลูกสาวเท่าที่รู้ ไม่อยากจะติดตามทวงถามใครอีก ให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของกฎหมาย เรามั่นใจอยู่แล้วว่าใครเป็นคนทำ เขาก็เดินทางไปอังกฤษกับลูกสาวเรา พอกลับมา ก็มาคนเดียว ไม่บอกไม่กล่าว ไม่แจ้งอะไรเลย

ผู้สื่อข่าวแจ้งกับ “ยายจูมศรี” ว่า หนังสือพิมพ์เดอะซัน ประเทศอังกฤษ ที่เคยส่งผู้สื่อข่าวจากอังกฤษ มาพบครอบครัว “สีกันยา” และรายงานข่าวต่อเนื่อง ได้นำเสนอข่าวล่าสุดว่า เมื่อเช้าวันที่ 2 ก.พ. 68 ตามเวลาในประเทศไทย ตำรวจอังกฤษได้เข้าควบคุมตัว นายเดวิด ที่สนามบิน เมื่อเดินทางไปถึงประเทศอังกฤษ ในฐานะผู้ต้องสงสัยฆาตกรรมนางลำดวน ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนปากคำ ซึ่งทางการอังกฤษมีเวลา 72 ชม. ในการควบคุมตัวเพื่อสอบปากคำตามกฎหมาย หากครบกำหนดแล้วไม่มีการแจ้งข้อหา จะต้องปล่อยตัวนายเดวิด
ข่าวรายงานด้วยว่า นายเดวิด ไม่ได้อุทธรณ์คำสั่งของ สตม.ไทย ถึงการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในไทย และตัดสินใจเดินทางกลับอังกฤษ เพื่อหาทางในการชี้แจงความบริสุทธิ์ หรือแบบไม่มีทางเลือกมากกว่า
นางจูมศรี กล่าวด้วยความท้อแท้ว่า ไม่หวังแล้วว่าจะได้ “เถ้ากระดูกลูกสาว” กลับมาทำบุญที่บ้านเกิด เพราะเวลาผ่านมากว่า 22 ปีแล้ว กระดูกก็คงจะไม่เหลือแล้ว ขนาดญาติผู้ใหญ่ฝังอยู่ 12 ปี ขุดขึ้นมาทำบุญก็เหลือแค่กะโหลกนิดเดียว เชื่อว่าจะเหลือก็ดวงวิญญาณลูกสาว น่าจะวนเวียนอยู่บริเวณพบศพ ตนเองไม่เคยฝันถึงลูกสาวเลย มีเพียงเพื่อนของเขาฝันถึงว่า ลูกสาวอยู่ในความทุกข์-ความเจ็บปวด ต้องการได้รับความช่วยเหลือ ตนเองกับสามีและญาติพี่น้อง ก็ทำได้เพียงทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ หวังจะคลายความเจ็บปวดไปได้บ้าง แต่ที่เชื่อก็คือ ใครที่ทำกรรมอะไรไว้ กรรมนั้นจะต้องตามทัน ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติต่อไป เหมือนกับคนที่ทำกับลูกสาว เขากำลังรับกรรมที่ก่อไว้ เพราะเวรกรรมกำลังทำงาน