The Guardian สหราชอาณาจักร รายงานว่า เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 68 รัฐบาลภายใต้การนำของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ได้ออกคำสั่งให้กระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ (USDA) ปิดเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ

ส่งผลให้ในวันถัดมา (31 ม.ค. 68) หน้า Landing Page ของเว็บไซต์กรมป่าไม้สหรัฐฯ (Climate Hubs) ซึ่งมีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับทรัพยากร การวิจัย เครื่องมือในการปรับตัว และข้อมูลการประเมินความเสี่ยงจากไฟป่าได้ปิดถูกลบออกไป เหลือเพียงข้อความแสดงข้อผิดพลาดเพียงบรรทัดเดียวว่า ‘คุณไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงหน้านี้’

คำสั่งดังกล่าวนับเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายใหม่จากรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งมีผลกระทบต่อหลายหน่วยงานของรัฐบาลกลาง ทำให้เว็บไซต์หลายแห่งต้องปิดตัวลงอย่างกะทันหัน เช่นเดียวกันกับหน่วยงานต่างๆ พยายามปฏิบัติตามคำสั่งของประธานาธิบดี ซึ่งภายใต้คำสั่งจากสำนักงานสื่อสารของ USDA เจ้าหน้าที่ได้รับมอบหมายให้ตรวจสอบหน้าเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ โดยระบุให้มีการ ‘เก็บเนื้อหาถาวรหรือยกเลิกการเผยแพร่เนื้อหาใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ’ พร้อมกำหนดให้มีการรวบรวมรายชื่อหน้าเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องนำส่งให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงภายในวันที่ 31 ม.ค. 68 เพื่อการพิจารณาต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในรายละเอียดอีเมลคำสั่งจากเจ้าหน้าที่ USDA มีการชี้แจงว่า ‘ข้อมูลเหล่านี้ไม่ควรถูกลบออกไป แต่ควรจับเก็บถาวรไว้ เนื่องจาก USDA จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านการเก็บรักษาข้อมูล’

ปัจจุบัน เว็บไซต์ ‘Climate Hubs’ ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่เชื่อมโยงระหว่างเกษตรกรและโครงการวิจัยต่างๆ ยังคงเข้าถึงได้ แต่เว็บไซต์อื่นๆ เช่น USFS Climate Change Resource Center, Climate Action Tracker และ National Roadmap for Responding to Climate Change ได้ถูกปิดตัวลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แม้ว่าเว็บไซต์เหล่านี้จะเป็นแหล่งรวมเครื่องมือและข้อมูลสำคัญในการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แต่การเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดนั้นถูกจำกัดอยู่ภายใต้การบริหารของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนหลายกลุ่ม ตั้งแต่เกษตรกรไปจนถึงนักดับเพลิง ที่ต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป

มาตรการกวาดล้างนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ถือเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการปรับโครงสร้างนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งรวมถึงการยกเลิกมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมที่ ‘โจ ไบเดน’ เคยประกาศใช้ ทั้งยังมีการประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานเพื่อเร่งการสกัดเชื้อเพลิงฟอสซิล และถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

นอกจากนี้ รัฐบาลทรัมป์ยังสร้างความโกลาหลในหน่วยงานของรัฐ ด้วยการระงับการจ้างงาน ยุติโครงการวิจัยต่างๆ และยื่นข้อเสนอ ‘ซื้อขาด’ (buyout offer) ให้กับข้าราชการของรัฐบาลกลาง ว่า พวกเขาได้รับเงินเดือนและสวัสดิการไปจนถึงเดือนกันยายนในปีนี้ หากตัดสินใจลาออกภายในสัปดาห์ถัดไป

นโยบายใหม่ส่งผลต่อข้อมูลด้านสาธารณสุข

นอกจากการปิดเว็บไซต์ด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในหน่วยงานอื่นๆ เช่น รัฐบาลทรัมป์ มีคำสั่งให้ระงับโครงการที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการอยู่ร่วมกัน หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า DEI (Diversity, Equity, and Inclusion) นอกจากนี้ สำนักงานบริหารงานบุคคลของรัฐบาลกลาง (Office of Personnel Management – OPM) ออกหนังสือสั่งการไปยังหัวหน้าหน่วยงานของรัฐบาลกลาง ให้ยุติการให้เงินทุนสนับสนุนโครงการที่เกี่ยวข้องกับ ‘อุดมการณ์ทางเพศ’ พร้อมทั้งสั่งให้พนักงานนำคำสรรพนาม (pronouns) ออกจากอีเมลของรัฐบาล และยุบกลุ่มทรัพยากรบุคคลที่เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าว

ในส่วนของข้อมูลด้านสาธารณสุข ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ (CDC) ได้ลบข้อมูลที่สำคัญออกจากเว็บไซต์หลายรายการ เช่น แนวทางการใช้ยาคุมกำเนิด ข้อมูลเกี่ยวกับเอชไอวีในกลุ่มคนข้ามเพศ แนวทางการสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนเด็กและเยาวชนข้ามเพศ รายละเอียดเกี่ยวกับวันตรวจเอชไอวีแห่งชาติสำหรับคนข้ามเพศ และผลสำรวจที่แสดงให้เห็นว่ากลุ่มนักเรียนข้ามเพศมีอัตราความซึมเศร้า การใช้สารเสพติด และการถูกกลั่นแกล้งสูงกว่าค่าเฉลี่ย

จะเห็นแล้วว่า การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเข้าถึงข้อมูลด้านสาธารณสุขที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ

ผู้เชี่ยวชาญเตือน การลบข้อมูลอาจส่งผลอันตรายต่อสาธารณสุข

ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อได้ออกมาเตือนว่า การลบข้อมูลเหล่านี้ออกไป อาจนำไปสู่การสูญเสียองค์ความรู้ที่สำคัญทางวิทยาศาสตร์ ขณะที่สมาคมโรคติดเชื้อแห่งอเมริกา (Infectious Diseases Society of America) ได้ออกแถลงการณ์ประณามการลบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเอชไอวีและกลุ่มคนข้ามเพศ โดยเน้นย้ำว่า การเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้การแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวียุติลงได้

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าหน่วยงานต่างๆ จะดำเนินการอย่างไรต่อไปกับเว็บไซต์ นโยบาย และงานวิจัยที่เคยเผยแพร่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ แม้ว่าลิงก์ไปยังหน้าเว็บต่างๆ จะยังคงปรากฏอยู่ แต่เนื้อหาในหลายหน้าเว็บกลับถูกเก็บถาวรและไม่สามารถเข้าถึงได้อีกต่อไป ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้อาจส่งผลกระทบต่อการศึกษาค้นคว้าและการพัฒนาแนวทางการป้องกันและรักษาโรคต่างๆ ในอนาคต