ในยุคที่เทคโนโลยีความงามก้าวล้ำจนมีทางเลือกมากมายในการดูแลผิวพรรณ ‘LipoCube SVF’ และ ‘PRP’ กลายเป็นสองตัวเลือกยอดนิยมที่หลายคนกำลังพูดถึง แต่นวัตกรรมไหนจะตอบโจทย์การฟื้นฟูผิวได้มากกว่ากัน? บทความนี้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักนวัตกรรมทั้งสองวิธีนี้ พร้อมเปรียบเทียบจุดเด่นเพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
รู้จัก LipoCube SVF และ PRP สองเทคโนโลยีเพื่อผิวสวย
นวัตกรรม LipoCube SVF และ PRP ต่างมีแนวทางฟื้นฟูผิวพรรณที่โดดเด่นและเป็นที่นิยมในวงการความงามมาก แต่ทั้งสองถือว่ามีความแตกต่างกันในด้านกระบวนการและผลลัพธ์ มาดูกันดีกว่าว่าแต่ละวิธีนั้นคืออะไร
- LipoCube SVF คืออะไร? เติมเต็มผิวด้วยสเต็มเซลล์ไขมัน
LipoCube SVF (Stromal Vascular Fraction) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้สเต็มเซลล์จากไขมันในร่างกาย เพื่อฟื้นฟูและซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ ขั้นตอนนี้เริ่มจากการดูดไขมันส่วนเกินในร่างกายออกมา แล้วนำไขมันมาผ่านกระบวนการแยกสเต็มเซลล์คุณภาพสูง ก่อนนำกลับมาฉีดในบริเวณที่ต้องการ
ความพิเศษของ LipoCube SVF อยู่ที่การฟื้นฟูถึงระดับเซลล์ผิว ทำให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์และสุขภาพดีในระยะยาว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาริ้วรอยลึก ผิวหย่อนคล้อย หรือเติมเต็มโครงสร้างผิวให้ดูแน่นกระชับ นวัตกรรม LipoCube SVF ถือว่าใหม่มาก ๆ โดยมี AMARA เป็นผู้เชี่ยวชาญเจ้าแรกที่นำเทคโนโลยีนี้เข้ามาในประเทศไทย ด้วยทีมแพทย์ที่ชำนาญการ ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ทั้งปลอดภัยและน่าประทับใจอย่างมาก
- PRP คืออะไร? ฟื้นฟูผิวด้วยเกล็ดเลือดเข้มข้น
PRP (Platelet-Rich Plasma) เป็นการฟื้นฟูผิวด้วยพลาสมาที่มีเกล็ดเลือดเข้มข้น โดยสกัดมาจากเลือดของผู้รับบริการเอง ซึ่งเกล็ดเลือดเหล่านี้อุดมไปด้วยสารช่วยซ่อมแซมและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ PRP เป็นที่นิยมเพราะขั้นตอนง่าย ไม่ซับซ้อน และใช้เวลาสั้น เหมาะกับผู้ที่ต้องการการบำรุงผิวแบบเบื้องต้น เช่น ลดรอยดำ รอยสิว หรือฟื้นฟูผิวที่ดูหมองคล้ำ
ความแตกต่างระหว่าง LipoCube SVF และ PRP

ทั้ง LipoCube SVF และ PRP ต่างก็มีข้อดีเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน เรามาดูรายละเอียดของแต่ละด้านเพื่อช่วยให้คุณเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุดกันเลย
ขั้นตอนการทำ LipoCube SVF vs PRP แบบไหนเหมาะกับคุณ?
- LipoCube SVF จะเริ่มจากการดูดไขมันส่วนเกินในร่างกาย เช่น บริเวณหน้าท้องหรือต้นขา แล้วนำไขมันมาผ่านกระบวนการสกัดสเต็มเซลล์ โดยใช้เวลาในการทำประมาณ 2-3 ชั่วโมง
- PRP จะมีขั้นตอนง่ายกว่า โดยใช้การเจาะเลือดในปริมาณเล็กน้อย แล้วนำไปปั่นแยกเกล็ดเลือดเข้มข้น ก่อนจะนำมาฉีดกลับเข้าสู่ผิว ใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที
ระยะเวลาเห็นผล LipoCube SVF ยาวนานกว่า PRP จริงไหม?
- LipoCube SVF จะเห็นผลภายใน 2-3 สัปดาห์ และผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานถึง 3-10 ปี
- PRP จะเริ่มเห็นผลใน 1-2 สัปดาห์ แต่ผลลัพธ์จะค่อย ๆ จางลงและต้องทำซ้ำทุก 4-6 เดือน
ผลลัพธ์หลังการทำ LipoCube SVF เติมเต็มลึกกว่า PRP หรือไม่?
- LipoCube SVF เหมาะสำหรับการฟื้นฟูผิวระดับลึก เช่น เติมเต็มชั้นไขมัน ลดริ้วรอยลึก และฟื้นฟูโครงสร้างผิว
- PRP เน้นฟื้นฟูชั้นผิวส่วนบน เช่น ลดรอยดำและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
ความหลากหลายในการใช้งาน
- LipoCube SVF มาจากสเต็มเซลล์ที่สกัดจากไขมัน จึงสามารถเก็บไว้ใช้ซ้ำได้ในอนาคต ทำให้มีความคุ้มค่ามาก
- PRP จะไม่สามารถเก็บไว้ใช้ซ้ำได้ ต้องสกัดใหม่ทุกครั้ง
ทำไม LipoCube SVF ถึงเหนือกว่า PRP?
LipoCube SVF ใช้สเต็มเซลล์ไขมันในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูผิวในระยะยาว ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำครั้งเดียวจะอยู่ได้นานหลายปี นอกจากนี้ สเต็มเซลล์ไขมันสามารถเก็บไว้ใช้ในอนาคต เพิ่มความคุ้มค่าและสะดวกสบาย การฟื้นฟูผิวด้วย LipoCube SVF ยังสามารถแก้ปัญหาผิวได้ครบทุกด้าน ทั้งลดริ้วรอยลึก ผิวหย่อนคล้อย และปรับโครงสร้างผิวให้ดูเนียนกระชับ
สรุป LipoCube SVF vs PRP เลือกแบบไหนดีกว่าสำหรับคุณ?

LipoCube SVF และ PRP เป็นสองนวัตกรรมที่ช่วยฟื้นฟูผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าอยากได้ผลลัพธ์ที่ล้ำลึกและยาวนานกว่า ก็ขอแนะนำ LipoCube SVF ที่ถือเป็นทางเลือกที่เหนือกว่า ด้วยการใช้สเต็มเซลล์ไขมันในการกระตุ้นคอลลาเจนและฟื้นฟูผิวในระดับลึก
ซึ่งที่ AMARA ถือเป็นหนึ่งในคลินิกแรกที่นำเทคโนโลยีนี้เข้ามาในประเทศไทย จึงสามารถมั่นใจได้ในมาตรฐานการรักษาและทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญของคลินิกได้เลย หากสนใจข้อมูลเพิ่มเติมหรืออยากปรึกษาเกี่ยวกับการทำ LipoCube SVF ก็แนะนำให้ติดต่อเพื่อพูดคุยกับ AMARA โดยตรงได้เลย เพื่อให้ได้คำแนะนำที่เหมาะสมกับคุณที่สุด