สภาองค์กรผู้บริโภค เผยว่า จากกรณีที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดฟังคำพิพากษาในวันพรุ่งนี้ (6 กุมภาพันธ์ 2568) ในคดีที่บริษัท ทรูดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ฟ้องศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกิจการโทรทัศน์ ซึ่งกลุ่มนักวิชาการและภาคประชาชน เห็นว่า เป็นคดีตัวอย่างที่ “กสทช.” ทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคแต่ถูกฟ้องร้อง
สืบเนื่องจากที่มีผู้บริโภคร้องเรียนมาที่สำนักงาน กสทช. ในปี 2566 หลังพบว่าบนแพลตฟอร์มของแอปพลิเคชันทรูไอดี มีการโฆษณาแทรกในช่องทีวีดิจิทัลของผู้ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. ซึ่งบริษัท ทรูดิจิทัล กรุ๊ป ในฐานะผู้ให้บริการแอปทรูไอดี ได้นำสัญญาณมาถ่ายทอดในแพลตฟอร์มของตนเอง
ต่อมา คณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ ได้พิจารณาและเสนอความเห็นในเรื่องดังกล่าว และสำนักงาน กสทช. ได้ออกหนังสือแจ้งไปยังผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ ให้ตรวจสอบว่า มีการนำช่องรายการที่ได้รับอนุญาตไปออกอากาศผ่านโครงข่ายใดหรือนำไปแพร่ภาพในแพลตฟอร์มใด และให้ปฏิบัติตามประกาศ กสทช. และเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ตามหลัก “มัสต์ แครี่” (Must Carry) ที่มีโฆษณาแทรกไม่ได้ แม้หนังสือดังกล่าว ไม่ได้ส่งตรงไปยังบริษัททรูดิจิทัลฯ เนื่องจากไม่ได้เป็นผู้ได้รับใบอนุญาต และไม่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช. แต่บริษัททรูดิจิทัลฯ ระบุว่า การออกหนังสือดังกล่าว ทำให้ตนเองเสียหาย จึงนำมาซึ่งการฟ้องร้อง กสทช. พิรงรอง รามสูต

ในคำร้องของบริษัททรูดิจิทัลฯ ระบุว่า หนังสือดังกล่าวเป็นเหตุที่ทำให้ได้รับความเสียหาย เนื่องจากผู้รับใบอนุญาตประเภทช่องรายการโทรทัศน์ อาจทำการระงับการเผยแพร่รายการต่าง ๆ ผ่านทางแพลตฟอร์มของตน โดยในคำร้องได้ระบุว่า ทางสำนักงาน กสทช. ยังไม่มีระเบียบเฉพาะในการกำกับดูแลกิจการ OTT (Over-The-Top หรือ การให้บริการสตรีมเนื้อหาผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต)
อย่างไรก็ตาม ดร.พิรงรอง ยืนยันว่า การออกหนังสือของสำนักงาน กสทช. ทำตามหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค ที่ได้รับผลกระทบจากการแทรกโฆษณาในบนแพลตฟอร์มทรูไอดีในการรับชมเนื้อหาตามประกาศมัสต์ แครี่ และดูแลลิขสิทธิ์เนื้อหาของผู้ให้บริการโทรทัศน์ดิจิทัล เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรม ซึ่งการตรวจสอบของ กสทช. จนนำไปสู่การออกหนังสือดังกล่าว มาจากการร้องเรียนของผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากการแทรกโฆษณาบนกล่องทรูไอดี ทั้งนี้ ไม่ได้มีการเลือกปฏิบัติต่อผู้ประกอบกิจการรายหนึ่งรายใดเป็นพิเศษ
กระแสโซเชียลร้อน! ส่งกำลังใจ #saveพิรงรอง

ขณะที่เรื่องนี้กลายเป็นกระแสร้อนบนโลกโซเชียล โดยมีนักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนและเครือข่ายผู้บริโภคพร้อมใจกันติด #saveพิรงรอง พร้อมล่ารายชื่อให้ถึง 10,000 รายชื่อ เพื่อส่งกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่และให้ได้รับความเป็นธรรมในการตัดสินคดีครั้งนี้ อาทิ

ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรรางศุ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า “ถ้าการปฏิบัติหน้าที่ตามตำแหน่งที่รับผิดชอบด้วยความสุจริตจะกลายเป็นความผิดทางอาญาแล้วไซร้ ในระยะยาว จะเหลือใครทำงานให้กับส่วนรวม”

น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ อดีตกรรมการ กสทช. โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ส่งกำลังใจให้ “พิรงรอง” ที่ยืนหยัดต่อสู้ เพื่อ กสทช.

นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง นำเสนอข่าวผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ กรรมกรข่าว ชวนจับตาดูการพิจารณาคดีดังกล่าว หลัง “พิรงรอง” ทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค

เฟซบุ๊กคณะกรรมการนิสิตคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ก็โพสต์ร่วมติด #saveพิรงรอง #freeกสทช ส่งกำลังให้ใจให้ อ.พิรงรอง
ชี้ชะตา! ลุ้นศาลอาญาทุจริตฯ หลุดตำแหน่งหรือไม่?
สำหรับคำพิพากษาของศาลในวันที่ 6 ก.พ. 68 หรือ วันพรุ่งนี้ ดร.พิรงรอง ถูกตัดสินว่ามีความผิดและไม่ได้รับสิทธิให้ประกันตัว ระหว่างรอการอนุมัติการอุทธรณ์ จะต้องสิ้นสภาพการเป็น กสทช. ทันที
ทั้งนี้ ผู้ที่กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 มีโทษคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000 บาท ถึง 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนคุณสมบัติของ กสทช. ตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 มาตรา 7 (6) และ (7) กำหนดลักษณะต้องห้ามของกรรมการ กสทช. ว่าเป็นบุคคลที่ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล หรือ เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ในเดือนเมษายน 2567 บริษัททรูดิจิทัลฯ ได้ยื่นเคยคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ ดร.พิรงรอง ยุติการปฏิบัติหน้าที่กรรมการ กสทช. และประธานอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ไว้ชั่วคราว จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาในคดีนี้ แต่ต่อมาในเดือนพฤษภาคม 2567 ศาลยกคำร้องดังกล่าว โดยพิจารณาว่าจำเลยไม่มีพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่า เป็นปฏิปักษ์ ขัดขวาง หรือกลั่นแกล้งการประกอบธุรกิจของโจทก์ตามที่กล่าวอ้าง