เมื่อวันที่ 11 ก.พ.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ “cafef.vn” รายงานเรื่องราวของชายชาวจีนคนหนึ่ง ซึ่งมีความเป็นอัจฉริยะ จนมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จ ช่วยครอบครัวหลุดพ้นจากความยากจน แต่ความอัจฉริยะในวันนั้นกลับหันไปในทิศทางที่ไม่คาดคิด

อัจฉริยะคือความหวังของครอบครัว
จางเสี่ยวหยง เกิดในปี 1974 ที่มณฑลหูหนาน ประเทศจีน ในครอบครัวเกษตรกรยากจน ด้วยความหวังของพ่อแม่ที่อยากให้ลูกชายหลุดพ้นจากชีวิตที่ลำบาก จึงตัดสินใจขายทรัพย์สินมีค่าทั้งหมดของครอบครัวส่งเขาไปเรียนหนังสือ ซึ่งมองว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องเสียสละ และเป็นการลงทุนให้อนาคตของลูก
จางเสี่ยวหยง แสดงให้เห็นถึงสติปัญญาอันยอดเยี่ยมจนได้รับการขนานนามว่าเป็น อัจฉริยะในท้องถิ่นจากผลการเรียนที่โดดเด่นในวิชาวิทยาศาสตร์ ผ่านการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยที่มีการแข่งขันสูง จนได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยชิงหัว มหาวิทยาลัยชั้นนำอันดับ 1 ของจีน ด้วยคะแนนเกือบจะเต็ม
จางเสี่ยวหยง สอบได้คะแนนสูงสุดในสาขาวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยนี้ ในวัยเพียง 17 ปี กลายเป็นความภาคภูมิใจของครอบครัวและหมู่บ้าน เนื่องจากทุกปีมีผู้เข้าสอบมหาวิทยาลัยจีนมากมาย แต่มีเพียง 2% ที่สามารถเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศได้ อัตราการรับเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุด 2 แห่งอย่างมหาวิทยาลัยชิงหัวและมหาวิทยาลัยปักกิ่งยังต่ำกว่ามาก เพียงแค่ 0.05%

เมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัย จางเสี่ยวหยง เลือกเรียนสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยโอกาสและลึกซึ้ง ผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมในช่วงปีแรกทำให้เขากลายเป็นนักศึกษาที่โดดเด่น อยู่ในกลุ่มท็อป 5 ของสาขาวิชาเสมอ
ชีวิตหันเหไปในทิศทางที่ไม่คาดคิด
หลังจากจบการศึกษา จางเสี่ยวหยง เผชิญกับทางเลือกมากมาย เพราะทั้ง มหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และบริษัทใหญ่ๆ ต่างพากันเสนอให้มาร่วมงาน แต่จางเสี่ยวหยงกลับปฏิเสธทุกโอกาสเหล่านั้น และเลือกทำงานกับบริษัทต่างชาติที่ผลิตสินค้าเคมี ด้วยรายได้สูงและสวัสดิการที่น่าสนใจ เพราะคิดว่าหากงานที่ทำสอดคล้องกับสาขาที่เรียนและให้รายได้ดี ถือเป็นการเลือกที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ จางเสี่ยวหยง ได้รับกลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง บริษัทไม่มีระบบวิจัยและพัฒนาที่แข็งแกร่งในจีน และงานที่จางเสี่ยวหยงทำก็ไม่เกี่ยวข้องกับสาขาที่เรียนมาเลย เป็นแค่การดูแลลูกค้าเท่านั้น

กระทั่งผ่านไป 5 ปี จางเสี่ยวหยง เริ่มตระหนักว่าคำสัญญาเกี่ยวกับโอกาสในการพัฒนาอาชีพนั้นเป็นเพียงแค่รูปแบบ และบริษัทให้ความสำคัญกับผลประกอบการมากกว่าการพัฒนาพนักงาน แม้จางเสี่ยวหยงจะยื่นขอย้ายงานหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ ความผิดหวังก็ค่อยๆเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่กล้าตัดสินใจลาออกเพราะความรับผิดชอบที่มีต่อครอบครัว
จนมาถึงจุดที่ทุกอย่างพลิกผัน เมื่อพ่อของจางเสี่ยวหยง ป่วยหนัก ต้องการการดูแลใกล้ชิดเป็นพิเศษ จางเสี่ยวหยง จึงตัดสินใจลาออกจากงานที่กวางโจว กลับบ้านมาดูแลพ่อ ยิ่งทำให้ จางเสี่ยวหยง รู้สึกว่าได้เสียเวลา 5 ปีไปกับการทำงานที่ไม่ตอบโจทย์ และไม่สามารถใช้ชีวิตต่อไปในสภาพที่ไม่เห็นหนทางออกได้
เมื่อกลับบ้าน จางเสี่ยวหยง เลือกทำงานบริษัทอสังหาริมทรัพย์อยู่ 2 ปี แต่ก็มองไม่เห็นอนาคตเพราะรายได้ไม่คงที่ และในพื้นที่ก็ไม่มีงานที่เหมาะสมมากนัก ยิ่งไปกว่านั้น งานที่ดีๆ ก็ไม่สามารถให้เวลาในการดูแลครอบครัวได้ สุดท้าย จางเสี่ยวหยง ตัดสินใจทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ตลาดเครื่องปั้นดินเผาม่าว่างตั๋ว ใกล้กับโรงพยาบาลรักษาพ่อ
สุดท้ายชีวิตของ จางเสี่ยวหยง ต้องเปลี่ยนแปลงไปจากการตัดสินใจครั้งนี้ เพราะแม้ว่าเป็นเพียง รปภ.รายได้เพียง 2,000 หยวน หรือประมาณ 9,300 บาท แต่จางเสี่ยวหยง ก็พอใจที่ได้อยู่ใกล้ครอบครัวสามารถดูแลคนที่รักได้

เมื่อผู้คนรู้เรื่องราวของ จางเสี่ยวหยง อัจฉริยะ ที่เคยสอบเข้ามหาวิทยาลัยอันดับ 1 ได้คะแนนที่ 1 แต่ต้องกลับมาทำงานเป็น รปภ. ก็รู้สึกเสียดายโอกาสแทนจางเสี่ยวหยง หลายคนคิดว่าหากจางเสี่ยวหยง เลือกทำงานที่ตรงกับการศึกษา อาจทำให้เป็นคนมีชื่อเสียงมากกว่าทุกวันนี้
แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับจางเสี่ยวหยง ก็ไม่เสียใจ เพราะเลือกให้ความสำคัญกับการดูแลพ่อ และครอบครัว ถึงแม้จะต้องละทิ้งความฝันในอาชีพ ดูเหมือนไม่มองการณ์ไกล และไม่สามารถสร้างอาชีพที่ประสบความสำเร็จได้อย่างที่หวัง แต่มันคือหลักฐานของความกตัญญู และความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงของชีวิต
ข้อมูล – ภาพ เว็บไซต์ “cafef.vn”