นายณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยกรณีถึงนโยบายด้านภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์  ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่สร้างผลกระทบไปทั่วโลก ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในเป้าหมาย เพราะเกินดุลการค้ากับสหรัฐ ว่า ประเทศไทยถือเป็นโอกาสที่ดี เพราะไทยตั้งอยู่ในภูมิรัฐศาสตร์ที่ดี การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศนโยบายที่มีผลกระทบในภูมิภาคนี้ เชื่อว่าประเทศจีนคงมีความเคลื่อนไหวในอนาคต ประเทศไทยอยู่ตรงกลาง ที่มีภูมิศาสตร์ที่ดี ไทยสามารถจะวางตัวให้อยู่ในฐานะวิน-วิน ได้ประโยชน์กับทุกฝ่ายได้

“หากถามว่าต่อไปประเทศไทยต้องเลือกใช้เทคโนโลยีใดระหว่างของจีน หรือสหรัฐอเมริกา ที่ปัจจุบัน จีน ได้พัฒนาตัวเองขึ้นมามีเทคโนโลยีที่ไม่แพ้ฝั่งตะวันตกแล้วนั้น ต่อไปเชื่อว่าหลายๆ ผลิตภัณฑ์จะเกี่ยวข้องกับเรื่องภาษีมากขึ้น หรืออาจมีการตั้งกำแพงภาษี แต่เชื่อว่ากระทรวงพาณิชย์ของไทย จะเข้าไปเจรจาพูดคุยได้  สิ่งสำคัญ คือ ประเทศไทยต้องทำให้ผู้ที่ต้องการย้ายฐานการผลิตด้านเทคโนโลยีมาเลือกใช้ไทยเป็นฐานเพื่อผลิต ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีเพราะไทยอยู่ภูมิรัฐศาสตร์ที่ดี มีโลเคชั่นที่ดีและการขนส่งที่ได้เปรียบกับอีกหลายๆ ประเทศในภูมิภาคนี้ จึงมองว่าเป็นความเสี่ยงที่ต้องบริหารจัดการให้เป็นโอกาส”

นายณัฐพล กล่าวต่อว่า สำหรับอุตสาหกรรมดิจิทัลของไทยในปี 68 นี้คาดว่าจะเติบโตประมาณ 12-13% โดยในอนาคตอันใกล้มองว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ จะเข้ามาแทนที่การทำงานของคนเพิ่มมากขึ้น ทางดีป้าจะขอเข้าพบปรึกษาหารือกับทางนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ว่าประเทศไทยจะมีนโยบายการทำงาน เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร

ซึ่งในส่วนของดีป้า ได้พยายามส่งเสริม เทค สตาร์ทอัพของไทย  เพื่อให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัลที่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ โดยปีนีจะเปลี่ยนรูปแบบ ด้วยการให้ทุนตั้งต้น สำหรับสตาร์ทอัพที่มีไอเดีย จำนวน 2 แสนบาท จำนวน 200 ทุน ซึ่งเป็นทุนให้เปล่า เน้นผู้ที่มีไอเดียที่สามารถต่อยอดได้ และจะมีการดึงบริษัทชั้นนำ เช่น กูเกิล หัวเว่ย ไมโครซอฟท์ และ เอดับบลิวเอส เข้ามาร่วมโครงการด้วย ซึ่งช่วงที่ผ่านมาดีป้าถือเป็น แองเจิ้ลอินเวสเตอร์ ที่เป็นหน่วยงานรัฐที่มีพอร์ตใหญ่สุดในเอเชีย  ด้วยจำนวน 160 สตาร์ทอัพในพอร์ต และมีมูลค่ามากกว่า 5,000 ล้านบาท