เมื่อเวลา 20.40 น.วันที่ 19 ก.พ.ที่ สน.วังทองหลาง  พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผบก.สส.บช.น. พล.ต.ต.ธนันท์ธร รัตนสิทธิภาคย์  ผบก.น.4 พร้อมเจ้าหน้าที่ ร่วมกันแถลงภายหลังการช่วยเหลือ นายโช (นามสมมติ) อายุ 20 ปี นักศึกษาปี 1 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง  ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์บังคับกักขัง เรียกเงินค่าไถ่จากพ่อแม่ เพื่อแลกกับความปลอดภัยของลูกชาย ที่ห้อง 221 ชั้น 2  ซอยลาดพร้าว128/2 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กทม. เมื่อเวลา18.00 น. วันเดียวกัน

พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่า รับแจ้งจากพ่อแม่ของนายโช ถูกอุ้มไปที่ใดที่หนึ่งพ่อแม่มาขอร้องให้ตำรวจช่วย พ่อเหยื่อเล่าว่ามีแก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้างว่าเป็นพนักงานค่ายมือถือดังแห่งหนึ่งโทรศัพท์มาหานายโช และอ้างว่านายโชไปพัวพันกับแก๊งฟอกเงิน  ให้ไปแสดงตัวที่ สภ.แม่โจ้ จ.เชียงใหม่ แต่เนื่องจากผู้เสียหายไม่สะดวกเดินทางไป จากนั้นบังคับให้ผู้เสียหายเปิดโรงแรมในพื้นที่วังทองหลาง และวิดีโอคอลกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตลอดเวลา แม้กระทั่งเวลากินข้าว มีการหลอกต่อเนื่องนาน 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 12 ก.พ.ถึงวันนี้ ให้นายโช คุยกับตำรวจ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ง. และเจ้าหน้าที่ธุรกรรมบัญชี ทำให้นายโชโอนเงิน 3 รอบ รวมกัน  150,000 บาท ไปตรวจสอบ

หลังจากนายโชไม่มีเงิน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ให้นายโช ไปหลอกพ่อแม่ว่าจะนำเงินไปเรียนต่อต่างประเทศ และใช้เป็นเงินค้ำประกัน 500,000 บาท ด้านของครอบครัวผู้เสียหาย ได้มีการโอนเงินเข้าบัญชีของลูกชาย หลังจากนั้น ผู้เสียหายก็โอนต่อไปยังแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ผบก.สส.บช.น.เผยอีกว่า หลังจากหมดมุขคำโกหกในเรื่องของการเรียนต่อต่างประเทศแล้ว ได้ให้ผู้เสียหายหลอกพ่อแม่ว่าโดนอุ้ม และจะโดนทำร้ายร่างกาย รวมถึงจะถูกนำไปขายที่ต่างประเทศ พร้อมทั้งข่มขู่พ่อแม่ของผู้เสียหายว่า ถ้าไม่อยากให้ลูกโดนนำไปขายต่างประเทศ ให้โอนเงินมา 150,000 บาท แต่ด้านพ่อแม่ของผู้เสียหายกลับรู้สึกแปลกใจ จึงเดินทางมาแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ สน.วังทองหลาง หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่เริ่มปฏิบัติการค้นหาผู้เสียหายทันที ช่วงแรกพยายามค้นหาไปตามโรงแรมต่างๆ ในพื้นที่วังทองหลาง เนื่องจากว่าผู้เสียหายไม่ยอมบอกพิกัดที่อยู่ สุดท้ายใช้การตรวจโทรศัพท์น้องทางเทคนิค ทราบพิกัดที่อยู่ เมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางไปถึงห้องพักที่ผู้เสียหายพักอยู่เคาะห้องแจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่ นายโชยังคงพูดคุยวิดีโอทางไลน์อยู่กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตลอดเวลา ไม่ต่ำกว่า 17 ชม.ตอนที่ตำรวจไปถึงตัวผู้เสียหายยังอยู่ในอาการหวาดกลัว ทั้งนี้ตำรวจจะไม่มีการวิดีโอคอลมาพูดคุยกับผู้เสียหาย ถ้าหากเกิดเหตุในลักษณะนี้เกิดขึ้นให้คิดเอาไว้ก่อนว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างแน่นอน

ด้านนาย ณัฐวรรธน์ พ่อผู้เสียหายเปิดเผยว่า เริ่มแรกลูกชายบอกกับตนว่า ได้ทุนไปเรียนต่างประเทศ โดยมีการอ้างชื่ออาจารย์ดูแลเรื่องโครงการทุนของมหาวิทยาลัย ตนจึงได้ทดลองเสิร์ชข้อมูลในอินเตอร์เน็ตพบว่ามีชื่ออาจารย์คนดังกล่าวจริง แต่ไม่มีชื่อโครงการทุนดังกล่าว ประกอบกับเมื่อสอบถามข้อมูลอย่างละเอียด เกี่ยวกับที่พักและ สถานที่เรียน ลูกชายพูดจาวกไปวนมา ทำให้เริ่มเอะใจ แต่ก็ได้เตือนลูกว่าไม่มีหลักสูตรดังกล่าวอยู่จริง แต่ตนได้โอนเงินให้ลูกเพราะรักและเชื่อใจ จากนั้นตนได้ไปสอบถามข้อมูลจากอาจารย์ของมหาวิทยาลัย ตนเคยศึกษาที่มหาวิทยาลัยนี้จึงมีคอนเนคชั่นอยู่บ้าง อาจารย์ตอบกลับมาว่า กรณีดังกล่าวน่าจะเป็นกลุ่มมิจฉาชีพที่มีการเอาชื่ออาจารย์ไปแอบอ้าง โดยที่ตัวเจ้าของชื่อที่แอบอ้างไม่ทราบเรื่องดังกล่าวด้วย

กระทั่งครั้งล่าสุด กลุ่มมิจฉาชีพโทรศัพท์มาหาตัวเอง พร้อมกับส่งรูปภาพ รถจักรยานยนต์ล้ม เพื่อสร้างสถานการณ์ข่มขู่ และ ให้ตนโอนเงินไป 150,000 บาท เพื่อแลกกับความปลอดภัยของลูก อ้างว่าลูกของตนเป็นหนี้การพนัน รวมถึงยังข่มขู่ว่าขณะนี้ได้พาตัวลูกชายไปที่ชายแดน จ.สระแก้วจะเอาตัวลูกชายไปขาย ตนจึงตัดสินใจเดินทางจาก จ.ขอนแก่น มาแจ้งความที่ สน.วังทองหลางเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เงิน 150,000 บาท ยังไม่ได้ให้ทั้งนี้ตนและภรรยาโอนเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ผ่านบัญชีลูกชายทั้งหมด 520,000 บาท ก่อนโอนไปให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์  

หลังตำรวจเข้าช่วยเหลือลูกชายแม่ได้โผเข้ากอดลูกชาย ตนพูดคุยกับลูกพบว่าสภาพจิตใจขณะนี้ยังอยู่ในภาวะกังวล หวาดกลัว และหวาดระแวง ตนไม่ได้ตำหนิ แต่ได้มีการปลอบใจและขอให้เรื่องนี้เป็นบทเรียน

ผบก.สส.บช.น.กล่าวเพิ่มเติมว่า เจ้าหน้าที่ทราบรายชื่อบัญชีที่ผู้เสียหายโอนเงินไปให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์แล้ว อยู่ระหว่างสืบสวนติดตามตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดี ทั้งนี้บช.น. ขอประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนทราบ เพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวง โดยใช้ความกลัวของเหยื่อ ความโลภหลอกว่าจะได้ประโยชน์ต่างๆ และความรักของคนในครอบครัวที่ต้องการช่วยเหลือบุคคลในครอบครัว อาจตกเป็นเหยื่อของขบวนการมิจฉาชีพได้ และเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชนในทุกมิติ หากพบเบาะแสท่านสามารถแจ้งความได้ที่สถานีตำรวจทั่วประเทศ หรือ สายด่วน 191 ตลอด 24 ชม.