สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 7 มี.ค. ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร ระงับการขึ้นภาษีในอัตรา 25% กับสินค้าของเม็กซิโกและแคนาดา ที่อยู่ภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลงการค้าเสรี สหรัฐ-เม็กซิโก-แคนาดา (ยูเอสเอ็มซีเอ)


มาตรการดังกล่าวจะมีผลจนถึงวันที่ 2 เม.ย. และเกิดขึ้นเพียงวันเดียว หลังทรัมป์พบหารือกับผู้บริหารของบริษัทฟอร์ด เจเนอรัล มอเตอร์ส และสเตลแลนทิส ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญ ตามกรอบข้อตกลงยูเอสเอ็มซีเอ และผู้นำสหรัฐมอบข้อยกเว้นภาษีให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นเวลา 1 เดือน จากวันที่ 4 มี.ค. ที่ผ่านมา เพื่อไม่ให้ภาคส่วนสำคัญดังกล่าวได้รับผลกระทบมากนัก


อย่างไรก็ตาม นางแคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว ยืนยันว่า การผ่อนผันไม่ได้หมายความว่า จะเป็นการยกเลิกกำแพงภาษี 25% เนื่องจากทรัมป์ต้องการให้ผู้ผลิตยานยนต์ทุกแห่งใช้ช่วงเวลานี้ ย้ายฐานการผลิตจากต่างประเทศกลับเข้ามาในอเมริกา และมาตรการภาษีตอบโต้ จะยังคงมีผลตามกำหนดการเดิม คือในวันที่ 2 เม.ย.


ด้านแหล่งข่าวในทำเนียบขาวเปิดเผยว่า มากกว่าครึ่งของสินค้าที่ส่งออกจากเม็กซิโกมายังสหรัฐ ได้รับความคุ้มครองภายใต้ยูเอสเอ็มซีเอ หมายความว่า จะไม่เผชิญกับกำแพงภาษี 25%

ส่วนสินค้าของแคนาดาได้รับความคุ้มครอง 48% เท่ากับว่า อีก 52% จะยังคงเผชิญกับกำแพงภาษี และเชื้อเพลิงที่ส่งออกจากแคนาดามายังสหรัฐ ยังไม่ได้รับการยกเว้นจากกำแพงภาษี 10%.

เครดิตภาพ : AFP