เมื่อวันที่ 7 มี.ค. พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงมติคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ที่ใช้เสียง 11 เสียง รับคดีฮั้วเลือก สว. เป็นคดีพิเศษฐานความผิดฟอกเงิน ว่า สามารถทำได้ เพราะจากการสอบสวนพยานสามารถเชื่อได้ว่ามีเงินสะพัดในการเลือก สว. ครั้งนี้กว่า 300 ล้านบาท มูลค่าเข้าข่ายเป็นการฟอกเงิน ซึ่งดีเอสไอสามารถรับเป็นคดีพิเศษได้ด้วยเสียงเกินกึ่งหนึ่ง จึงไม่จำเป็นต้องพิจารณาความผิดเรื่องการจ้างให้ดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อั้งยี่ ซ่องโจร และความผิดฐานยุยงส่งเสริมไม่ให้ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ หรือการครอบงำอำนาจนิติบัญญัติ เพราะหากสืบสวนสอบสวนความผิดฐานฟอกเงินและพบการประทำที่เข้าข่ายความผิดเหล่านี้ รวมถึงความอาญาที่เกี่ยวข้อง กฎหมายก็ให้ถือเป็นคดีพิเศษไปได้เลย
เมื่อถามว่าหลักฐานอะไรที่ทำให้เชื่อได้ว่ามูลค่าเงินเกิน 300 ล้านบาท พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ใช้มูลฐานความเชื่อได้ว่า ยกตัวอย่างเช่น การออกหมายจับของศาล เขาให้ใช้หลักฐานพอสมควร กรณีนี้ใช้เกณฑ์ข้อบังคับของประธานศาลฎีกา ในการออกหมายจับของศาลฎีกา ที่บางครั้งใช้บันทึกสายลับ ไม่ได้มีการสอบพยานเลย ก็ออกหมายจับได้ ดังนั้นในคดีนี้มีพยานยืนยันว่ามีการใช้เงิน 400-500 ล้านบาท โดยการจ่ายเงินเป็นช่วงๆ เมื่อมีพยาน จึงถือมูลฐานอันเชื่อได้ ที่ประชุมจึงมีมติรับเป็นคดีพิเศษตามกฎหมายฟอกเงิน ส่วนความผิดฐานอั้งยี่ การได้มาซึ่ง สว. หรือการฮั้ว และความผิดอื่นๆ เช่น ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.116(3) ที่มีการร้องทุกข์ไว้ หากมีความเชื่อมโยง ก็ให้ถือเป็นคดีพิเศษ ซึ่งตอนนี้ดีเอสไอ มีพยานประมาณ 7,000 คน ซึ่งเป็นผู้ที่เข้าไปในพื้นที่การเลือก สว. ระดับประเทศ ที่เมืองทองธานี ถึง 3,000 คน เราก็จะดูพยานหลักฐานนี้ โดยได้ส่งหนังสือขอให้พนักงานอัยการร่วมสอบสวนด้วย เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์และพิสูจน์ความผิด ไม่ต้องห่วง โดยได้ให้นโยบายดีเอสไอไปแล้ว จะต้องใช้เวลารวบรวมหลักฐานไม่เกิน 3 เดือน เพราะเขาสอบมานานแล้ว
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าการใช้เงินจูงใจให้เลือกเข้าข่ายเป็นการซื้อเสียง ซึ่งอยู่ในอำนาจของ กกต. ตอนนี้ดีเอสไอพยายามล้วงลูก กกต. ด้วยการอ้างกฎหมายฟอกเงินหรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวยืนยันว่า ไม่ใช่ มันเหมือนบริษัทหลบเลี่ยงภาษี มันก็มีความผิดเป็นหลายกรรม แต่อันนี้เป็นความผิดอั้งยี่ มีการสมคบกันกระทำการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ถือเป็นหนึ่งความผิดแล้ว
เมื่อถามว่าเป็นการเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพื่อให้ได้คดีนี้มาอยู่ในมือใช่หรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ไม่ใช่ มีผู้มาร้องทุกข์และมีการสืบสวน และจริงๆ แล้ว กกต. เป็นฝ่ายมาขอให้เราทำ เราจึงต้องร่วมมือกับ กกต. และเมื่อพบพยานหลักฐานแล้ว กกต. ก็สามารถนำไปพัฒนานิดหน่อย และใช้ในการยื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเพื่อถอดถอนได้ และคิดว่าหลักฐานที่มีการจ่ายเงินน่าจะถึง 20 คน ถ้า กกต. ร่วมมือกัน ซึ่งตอนนี้ก็คิดว่าเขาร่วมมือเพราะเขาส่งหนังสือมา และเราไม่ได้ก้าวล่วงอำนาจเขา ตราบใดที่เขายังไม่ยกเลิก ดีเอสไอและตำรวจเข้าไปร่วมสืบสวนคดีฮั้วเลือก สว. เราก็พยายามรวบรวมพยานหลักฐานให้ เพราะอำนาจของ กกต. คือการเดินหน้าถอดถอนบุคคลที่ได้ซึ่งตำแหน่ง สว. โดยมิชอบ
ทั้งนี้ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ไม่กังวลที่ สว. ตอบโต้ด้วยการยื่นถอดถอนจากตำแหน่งฐานกระทำความผิดด้านจริยธรรมอย่างร้ายแรง และเตรียมยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภา เพราะเรื่องความยุติธรรม ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่มีความสำคัญเท่ากัน แต่เรื่องนี้เราพิจารณาให้ดี มันกระทบต่อความมั่นคงด้านนิติบัญญัติ อำนาจในการออกกฎหมายก็ได้รับผลกระทบ จึงอยากเรียนไปถึง สว. ถ้าสอบสวนออกมา ท่านไม่ผิด ก็จะได้สง่างาม ยืนยันจะไม่ใช้ความรู้สึกในการแก้ปัญหา จะใช้พยานหลักฐานเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลและไม่เกี่ยวกับรัฐมนตรี ต่อไปนี้จะเป็นเรื่องของพนักงานสอบ อัยการ และผู้ทรงคุณวุฒิ มาร่วมพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ซึ่งต้องทำอย่างรวดเร็ว.