เมื่อวันที่ 9 มี.ค. พ.ต.อ.สุธน สุขวิเศษ รอง ผบก.ภ.จว.นราธิวาส พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด นปพ.กองกำกับการตำรวจภูธร จ.นราธิวาส เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมเดินทางมาตรวจสอบจุดเกิดเหตุคนร้ายวางระเบิดคาร์บอมบ์ พร้อมใช้อาวุธปืนสงครามและระเบิดแสวงเครื่องแบบไปป์บอมบ์ ใช้ก่อเหตุถล่มที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก ในช่วงคืนที่ผ่านมา เวลา 19.10 น. ก่อนที่จะนั่งรถยนต์กระบะหลบหนีไป ซึ่งเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ทำให้เจ้าหน้าที่ อส.ที่ว่าการ อ.สุไหงโก-ลก เสียชีวิต 2 นาย และมี อส.และประชาชนได้รับบาดเจ็บ รวม 9 คน

โดยเจ้าหน้าที่พบรถเก๋งที่ใช้เป็นพาหนะในการประกอบระเบิดคาร์บอมบ์ เป็นรถยี่ห้อโตโยต้า สีบรอนซ์ ยังไม่ทราบหมายเลขทะเบียน ถูกจอดทิ้งไว้บริเวณด้านหน้าของอาคารหอประชุม ซึ่งตั้งอยู่ด้านในของที่ว่าการอำเภอ ซึ่งอานุภาพของระเบิดแสวงเครื่องที่บรรจุใส่ไว้ในถังแก๊สหุ้งต้ม หนัก 100 กก. จุดชนวนด้วยวิทยุสื่อสารด้วยความสมบูรณ์แบบทำงาน 100 เปอร์เซ็นต์ ทำให้รถยนต์เก๋งคันดังกล่าวกลายเป็นซากเศษชิ้นส่วนภายในรัศมีกว่า 100 เมตร ขณะที่ด้านหน้าของอาคารหอประชุมได้รับความเสียหายทั้งแถบ และมีด้านหน้าของอาคารสรรพากร ห้องประชุมชั้น 2 ของที่ว่าการอำเภอ โรงจอดรถดับเพลิง อาคารที่ว่าการอำเภอหลังเก่าที่ใช้เป็นสถานที่เก็บวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งอาคารแฟลตการเคหะแห่งชาติที่อยู่ด้านหลังที่ว่าการอำเภอ ได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง ทั้งกระจกหน้าต่าง กระจกประตู กระจกบานเกล็ด หลังคา รถยนต์บรรทุก 6 ล้อ และรถยนต์หุ้มเกราะได้รับความเสียหายจากสะเก็ดระเบิดทั้งหมด

ต่อมาเวลา 12.30 น. พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ภ.9 ว่าที่ร้อยตรีตระกูล โทธรรม ผวจ.นราธิวาส พล.ต.ต.ไมตรี สันตยากุล ผบก.ภ.จว.นราธิวาส พ.อ.มานิตย์ ยิ้มซ้าย รอง ผบ.ฉก.นราธิวาส น.อ.มนตรี โตประเสริฐ ผบ.ฉก.นย. ได้เดินทางมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ คือที่บริเวณถนนหน้าที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก เป็นจุดที่คนร้ายใช้อาวุธปืนและระเบิดไปป์บอมบ์ยิงและขว้างถล่มใส่เข้าไปในที่ว่าการอำเภอ เพื่อเป็นการเบิกทางให้คนร้ายได้นำรถยนต์เก๋งเข้าไปจอดที่บริเวณหน้าอาคารหอประชุม รวมทั้งเป็นเส้นทางที่คนร้ายวิ่งหนีขึ้นรถยนต์กระบะหลบหนีหลังก่อเหตุแล้วเสร็จ โดยที่คณะแม่ทัพภาคที่ 4 ไม่ได้เดินเข้าไปดูจุดเกิดเหตุคาร์บอมบ์ เนื่องจากเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส ยังตรวจสอบหาหลักฐานต่างๆ ยังไม่แล้วเสร็จ

จากการสอบสวนและใช้กล้องวงจรปิดที่สามารถบันทึกพฤติกรรมของคนร้ายเอาไว้ได้ สรุปโดยย่อ คือ ในช่วงคนร้ายก่อเหตุมีจำนวนกว่า 10 คน โดยได้แต่งกายเป็นผู้หญิงมุสลิมใช้ผ้าคลุมศีรษะอำพรางใบหน้า นั่งรถยนต์กระบะ 1 คัน และรถยนต์เก๋ง 1 คัน ขับไล่หลังกันมา โดยมีรถยนต์กระบะขับนำหน้า เมื่อถึงบริเวณจุดตรวจหน้าประตูทางเข้าของที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก คนร้ายได้กระโดดลงจากรถยนต์กระบะ และเมื่อรถยนต์เก๋งจอดคนร้ายได้เปิดประตูรถยนต์เก๋งออกมา ซึ่งคนร้ายทั้งหมดมีอาวุธปืนครบมือ และได้แยกย้ายออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ ที่บริเวณประตูทางเข้า และที่บริเวณประตูด้านซ้ายมือติดกับตู้เอทีเอ็ม

จากนั้นคนร้ายได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่ อส.ที่เข้าเวรยามหน้าประตูในลักษณะไม่ให้ยิงต่อสู้ แล้วคนร้ายได้ขับรถยนต์เก๋งที่ประกอบระเบิดคาร์บอมบ์มาแล้วเสร็จ จอดที่บริเวณประตูทางเข้าซึ่งมีความลาดชัน จากนั้นคนขับได้เปิดประตูออกจากรถยนต์เก๋งก่อนผลักให้รถไหลเข้าไปที่บริเวณหน้าอาคารหอประชุม จากนั้นคนร้ายได้ใช้อาวุธปืนยิงกดไว้ไม่ให้ อส.ที่อยู่ภายในที่ว่าการอำเภอยิงตอบโต้ กระทั่งคนร้ายพากันขึ้นท้ายรถกระบะขับหลบหนีวกกลับมาทางเดิม โดยมุ่งหน้าไปทาง อ.สุไหงปาดี จากนั้นก็จุดชนวนระเบิดคาร์บอมบ์ที่ประกอบใส่รถเก๋งเอาไว้

ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ นายหมู่ใหญ่ มูอำหมัดสาบรี นะสวัน เสียชีวิต และมี อส. ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้ ในระหว่างที่คนร้ายขับรถหลบหนีได้พบเจอ อส.ทศพล ผายพิมพ์ กำลังเดินทางเข้าสนับสนุนเพื่อน อส.ที่ถูกคนร้ายยิงถล่ม ฝ่ายคนร้ายจึงใช้อาวุธปืนสงครามยิงใส่ทำให้เสียชีวิตบนถนน ห่างจากที่ว่าการอำเภอ ประมาณ 200 เมตร ภายหลังเจ้าหน้าที่พบว่า ฝ่ายคนร้ายขับรถกระบะอีซูซุ สีบรอนซ์ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนไปจอดทิ้งไว้ในสวนปาล์ม ต.ริโก๋ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ปิดกั้นพื้นที่เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบ สำหรับรถเก๋งโตโยต้า สีบรอนซ์ ติดแผ่นป้ายทะเบียนปลอม กต 9903 ปัตตานี ที่ใช้เป็นระเบิดคาร์บอมบ์นั้น ภายหลังพบว่า มีการซื้อขายผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งจะได้ทำการตรวจสอบรายละเอียดการซื้อขายดังกล่าวว่า ใครเกี่ยวข้องกับคนร้ายบ้าง

ต่อมา ว่าที่ร้อยตรีตระกูล โทธรรม ผวจ.นราธิวาส ได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลสุไหงโก-ลก เพื่อเยี่ยมอาการผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 9 ราย ส่วนที่เหลือได้อนุญาตกลับไปรักษาตัวที่บ้านพัก ประกอบด้วย 1.นายสงกรานต์ ยูโซะ อายุ 19 ปี โดนสะเก็ดระเบิดที่ขาขวา มีอาการหน้ามืด ปวดศีรษะ 2. นายมัสลัน อารง อายุ 32 ปี โดนสะเก็ดระเบิดที่ใบหน้า คอ แขน ขาช้าย แผลไหม้ระดับ 2 3.นางรัชนีวรรณ จุ้ยทอง อายุ 47 ปี โดนสะเก็ดระเบิดที่แขนขวา 4.นายจิรภัทร อาแวสือแม อายุ 18 ปี โดนสะเก็ดระเบิดที่แขนขาซ้าย 5.นายแวซูลกีฟลี วาจิ อายุ 34 ปี มีแผลฉีกขาดและแผลไหม้ที่มือขวา 6.นายมะดารี ตาเยะ อายุ 38 ปี มีอาการแน่นหน้าอก มือซ้ายมีแผลฉีกขาด 7.นายณรงค์ชัย รัดรึงสุนทรี อายุ 52 ปี โดนสะเก็ดระเบิดข้อศอกขวาบวม และมีผู้บาดเจ็บอีก 2 ราย ยังคงนอนรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู คือ นายธวัชชัย ไชยศรี อายุ 42 ปี มีแผลไหม้ที่ใบหน้า ท้องได้รับการกระแทกจากแรงระเบิด และนายอพิชัย บุตตะจีน อายุ 44 ปี มีแผลไหม้ระดับ 2 ที่ใบหน้า แขนและขา 2 ข้าง ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด รวมทั้งเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส ยังได้เข้าตรวจสอบที่บริเวณถนนเลียบทางรถไฟแยกอรกาน และที่บริเวณหน้าอู่จรัญ ถนนโต๊ะลือเบ เขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก ซึ่งห่างจากที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก ประมาณ 2-3 กม.ที่คนร้ายได้วางถังแก๊สปิกนิกจุดละ 1 ลูก หนัก 20 กก. และได้เกิดระเบิดขึ้นในช่วงคืนที่ผ่านมา พบว่าคนร้ายได้จุดชนวนระเบิดด้วยวิทยุสื่อสารทั้ง 2 จุด เป็นลักษณะเบี่ยงเบนไม่ให้เจ้าหน้าที่ได้เข้าช่วยเหลือและสนับสนุนกำลังไปที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก โดยที่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บเนื่องจากขณะระเบิดทำงานเจ้าหน้าที่ได้กันพื้นที่ไว้แล้ว
ส่วนในพื้นที่ อ.ตากใบ เกิดขึ้นในช่วงเวลา 04.00 น.ของวันนี้ โดยคนร้ายได้นำระเบิดแสวงเครื่องไม่ทราบภาชนะ บรรจุไปวางไว้ที่โคนเสาไฟฟ้าริมถนนสายสุไหงโก-ลก-ตากใบ ช่วงบริเวณบ้านซีโป ต.โฆษิต และคนร้ายได้จุดชนวนระเบิดทำให้เสาไฟฟ้า จำนวน 2 ต้น มีลักษณะเอียงแต่ไม่หักโค่น ขณะที่ อ.สุไหงปาดี คนร้ายได้ใช้ระเบิดแสวงเครื่องไม่ทราบภาชนะบรรจุและตัวจุดชนวนระเบิด ไปวางไว้ใต้โคนเสาไฟฟ้าริมถนนสายสุไหงปาดี-เจาะไอร้อง ช่วงบริเวณบ้านตลิ่งสูง หมู่ 1 ต.สุไหงปาดี ทำให้เสาไฟฟ้าทั้ง 2 ต้นหักแต่ไม่โค่นล้มขวางถนน เนื่องจากมีสายไฟฟ้าต้นใกล้เคียงกันได้พยุงไว้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่เชื่อว่า คนร้ายได้มีการนัดแนะก่อเหตุร้ายขึ้นใน 3 อำเภอ เพื่อสร้างสถานการณ์ร้ายให้เกิดขึ้นในพื้นที่ โดยเฉพาะเคสภายในที่ว่าการ อ.สุไหงโก-ลก คนร้ายมีเป้าหมายสังหารเจ้าหน้าที่ อส.และทรัพย์สินของทางราชการ