สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เมื่อวันที่ 12 มี.ค. ว่าคณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) ซึ่งเป็นองค์กรฝ่ายบริหารของสหภาพยุโรป (อียู) ออกแถลงการณ์ว่า “เสียใจเป็นอย่างยิ่ง” กับการที่สหรัฐเดินหน้ามาตรการกำแพงภาษีอีก 25% กับผลิตภัณฑ์เหล็กและอะลูมิเนียมของอียู ซึ่งถือเป็นการกีดกันการค้า และเป็นการใช้นโยบายที่ไม่ชอบธรรม


ดังนั้น อียูจำเป็นต้องใช้มาตรการตอบโต้ ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าของสหรัฐในอัตรา 25% โดยจะแบ่งออกเป็นสองช่วง ระยะแรกเริ่มวันที่ 1 เม.ย. และระยะที่สองเริ่มวันที่ 13 เม.ย. ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ของอีกฝ่าย เป็นมูลค่ารวมราว 26,000 ล้านยูโร (ราว 958,958 ล้านบาท)


ด้านทำเนียบขาวยังไม่มีความเห็นอย่างเป็นทางการ ขณะที่กำแพงภาษีของสหรัฐ ซึ่งมีผลตั้งแต่เข้าสู่วันที่ 12 มี.ค. ตามเวลาท้องถิ่นของกรุงวอชิงตัน ส่งผลกระทบมากที่สุดต่อแคนาดา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งเป็นผู้ส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมมายังอเมริกามากเป็นอันดับต้น


อย่างไรก็ตาม อียูยังคงทิ้งท้ายว่า ยินดีเจรจา เนื่องจากไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองฝ่ายขึ้นภาษีซึ่งกันและกันเช่นนี้ ย้อนกลับไปเมื่อปี 2561 ซึ่งเป็นช่วงรัฐบาลวอชิงตันสมัยแรกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีการขึ้นภาษีลักษณะนี้ และอียูตอบโต้แบบเดียวกัน ก่อนที่ต่างฝ่ายจะเจรจากัน และตกลงยุติการขึ้นภาษี.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES