เมื่อวันที่ 21 มี.ค. นายก่อแก้ว พิกุลทอง สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า ในการเจรจาเรื่องเวลาในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ก็เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เกิดจากการเจรจาตกลงร่วมกันของคณะกรรมการประสานงานร่วมสภาผู้แทนราษฎร ฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาล และตัวแทนของ ครม. ได้แก่ ตัวแทนคณะรัฐมนตรี วิปรัฐบาล และวิปฝ่ายค้าน โดยมีประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานการหารือ โดยครั้งนี้มีรองพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ทำหน้าที่แทน
ก่อนหน้านี้วิปรัฐบาลจะให้เวลาอภิปราย 1 วัน แต่ล่าสุดจะมีมติให้เวลาฝ่ายค้านเป็น 23 ชั่วโมง ในขณะที่วิปฝ่ายค้านต้องการ 30 ชั่วโมง แต่ในการเจรจาร่วมกันครั้งล่าสุด ฝ่ายรัฐบาลยอมตามโอนอ่อนผ่อนตามข้อเรียกร้องของฝ่ายค้าน ทั้งนี้ฝ่ายค้านได้เวลา 28 ชั่วโมง ครม. กับพรรคร่วม 7 ชั่วโมง และประธานสภา 2 ชั่วโมง รวม 37 ชั่วโมง โดยกำหนดทำให้การอภิปรายวันที่ 24 เวลา 08.00-05.30 น. วันที่ 25 เวลา 08.00-23.30 น. และลงมติวันที่ 26 มี.ค. เวลา 10.00 น.
การที่ฝ่ายค้านออกมาแขวะท่านนายกฯ ทำนองว่าจะอยู่ฟังการอภิปรายไม่ถึงตี 5 นั้น เป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะทุกคนก็ทราบดีว่า นอกจากดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ท่านยังเป็นคุณแม่ของลูกๆ ที่ยังเล็ก เป็นตำแหน่งที่ไม่สามารถลาออกไม่สามารถละทิ้งการทำหน้าที่ได้ การที่จะบังคับให้ท่านนายกฯ นั่งฟังการอภิปรายและทำการชี้แจง ทั้ง 37 ชั่วโมง โดยไม่ได้ทำหน้าที่คุณแม่ และไม่ได้พักผ่อนเลย จึงเป็นไปได้ยากในความเป็นจริง และในที่ประชุมวิป ตกลงเรื่องเวลาของการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ท่านนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ไปร่วมประชุมเจรจาหรือเกี่ยวข้องด้วย การไปแขวะหรือโวยวายถึงตัวนายกรัฐมนตรีจนเกินข้อเท็จจริงในครั้งนี้ เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เป็นสภาวะ “หลง” และเป็นการฟาดงวงฟาดงา อย่างผิดฝาผิดตัวครับ
ตามหลักมารยาทเมื่อมีการเจรจาตกลงกันจบแล้ว ถือว่าเป็นมติของการตกลงร่วมทุกฝ่าย โดยเฉพาะพรรคฝ่ายค้าน ไม่ควรจะออกมาตีโพยตีพาย หรือโทษใคร ทุกฝ่ายควรมุ่งเน้นไปในการเตรียมข้อมูลของการอภิปรายหรือชี้แจงจะดีกว่า อย่าโหมโรงกันเกินจริงจนทำให้สังคมมองว่า การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ เป็นเพียง ‘ลิเก’ ฉากหนึ่ง