เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2568 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติด่วนขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล (น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี) นายวรภพ วิริยะโรจน์ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ลุกขึ้นกล่าวอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี โดยกล่าวหาว่า ทุจริตเชิงนโยบายค่าไฟประชาชน สานต่อขบวนการค่าไฟฟ้าแพง ปล้นเงินประชาชนคนไทยทั้งประเทศ แลกดีลจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้วและเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนพลังงานที่สนิทสนมกับนายกฯ ตอนหนึ่งว่า เมื่อนายกฯ เดินหน้าสานต่อรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนระยะ 2 รอบ 3,600 เมกะวัตต์ แม้โครงการนี้จะชะลอมา 3 เดือนแล้ว แต่รัฐบาลตั้งใจโกงค่าไฟประชาชน 1 แสนล้านบาท แม้โครงการดังกล่าวนี้จะเริ่มโดยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อมีนาคม 2566 ตามมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ช่วงเวลา 2 เดือนก่อนการเลือกตั้ง สส. ซึ่งรัฐบาลใหม่สานต่อเดินหน้าโครงการนี้เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 โดยมติของ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ทั้งนี้แม้รัฐบาลนี้จะมีมติให้ชะลอโครงการนี้ออกไปก่อน ผ่านมา 3 เดือนแล้ว ก็ยังไม่มีคำชี้แจงจากนายกฯ ว่าจะตัดหรือเอาอย่างไร หรือเป็นเทคนิคเพื่อรอให้ข่าวเงียบแล้วค่อยลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับเอกชนต่อได้

“การรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ ไม่มีการประมูลแข่งขันราคา เพราะมีการกำหนดราคารับซื้อไว้แล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตามเทคโนโลยีอนาคต คำนวณแล้วจะทำให้ค่าไฟของประชาชนเพิ่มขึ้นอีก 1 แสนล้านบาท ยกตัวอย่างราคาไฟฟ้าแสงอาทิตย์หรือโซลาร์เซลล์ ที่บิดาของนายกฯ เคยยืนยันเมื่อ 2 เดือนที่แล้วว่า ต้นทุนไฟฟ้าโซลาร์เซลล์อยู่ที่ 1.8 บาทต่อหน่วย แต่นายกรัฐมนตรีคนลูกยินดีจะซื้อจากบริษัทเอกชนถึง 2.2 บาทต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟของประชาชนจะแพงขึ้นเกินจริง หากรัฐบาลเดินหน้ารับซื้อโดยไม่เปิดประมูล ทำให้กลุ่มทุนได้รับกำไร นอกจากนี้ การรับซื้อไฟฟ้า 3,600 เมกะวัตต์ ยังซ้ำซ้อนกับการเปิดเสรีไฟฟ้าสะอาด 2,000 เมกะวัตต์ของรัฐบาลเอง ที่อนุมัติก่อนหน้าไปแล้วในรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ช่วงเดือน มิ.ย. 2567 แต่ในเดือน ก.ค. 2567 รัฐบาลแพทองธาร กลับเดินหน้ารับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ ขณะที่ประเทศไทยปัจจุบัน มีโรงไฟฟ้าเอกชนที่ผลิตไฟฟ้าล้นเกินความจำเป็นอยู่แล้ว หากรัฐรับซื้อไฟฟ้าที่เอกชนผลิตเกินความต้องการจริง ราคาค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องแบกรับก็ จะมาหารใส่ในบิลค่าไฟของประชาชนทุกครัวเรือน” นายวรภพ กล่าว

นายวรภพ กล่าวต่อว่า โครงการนี้มีการล็อกโควตาให้เฉพาะบริษัทเอกชนผู้ผลิตไฟฟ้าที่ยื่นโครงการในระยะแรก 2,100 เมกะวัตต์ ให้ได้รับสิทธิพิจารณาก่อนเจ้าอื่น ขณะที่เจ้าอื่นจะมีสิทธิเฉพาะ 5,200 เมกะวัตต์ที่เหลือในส่วนหลัง เหมือนกีดกันผู้ประกอบการรายใหม่ ปลอบใจรายเก่า โดย กกพ. กำหนดไว้ว่า ในกรณีที่มีเอกชนที่ผ่านคุณสมบัติมีจำนวนมาก เอกชนที่ได้รับคะแนนเทคนิคสูงที่สุด จะได้รับคัดเลือกก่อน แต่ประเด็นที่เป็นข้อพิรุธว่าเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย คือการรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชน นอกจากจะไม่เปิดประมูลแล้ว ก็ไม่มีการประกาศว่า หลักเกณฑ์ในการให้คะแนนเทคนิค คืออะไร พูดง่ายๆ คือ เปิดช่องให้มีการใช้ดุลพินิจแบบจิ้มเลือกได้เลยว่า ต้องการให้บริษัทเอกชนรายใดได้รับคัดเลือกเพื่อได้กำไรดี จากการขายไฟฟ้าให้รัฐที่ไม่ต้องประมูลแข่งขันอะไรเลย แม้ไฟฟ้าที่ซื้อมาจะเกินกว่าความต้องการ โดยรัฐบาลเร่งรีบลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับกลุ่มทุนพลังงานที่ใกล้ชิดกับครอบครัวนายกรัฐมนตรี มีภาพการออกงานที่สนิทสนมร่วมโต๊ะโซน VIP กันหลายงาน และเจ้าของกลุ่มทุนพลังงานนี้ ก็เป็นก๊วนกอล์ฟกับนายทักษิณ ชินวัตร พ่อของนายกฯ เคยออกรอบกันหลายครั้งด้วย แม้การมีเพื่อนเป็นเจ้าสัว เป็นเพื่อนร่วมก๊วนกอล์ฟ ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร และรัฐบาลก็คงไม่ผิดอะไร ถ้ารัฐบาลและนายกรัฐมนตรีไม่ได้สานต่อ หรือเอื้อประโยชน์อะไร มันคงเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่

“ทั้งที่พรรคเพื่อไทยเคยคัดค้านโครงการผลิตไฟฟ้านี้มาก่อน และศาลปกครองก็มีคำสั่งทุเลาการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานลม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ แต่กลับไม่มีการชะลอโครงการ แม้คำสั่งศาลปกครองจะชี้ว่า กระบวนการคัดเลือกไม่โปร่งใส เพราะรัฐบาลเอื้อผลประโยชน์นายทุนพลังงาน จนทำให้ประเทศไทยมีกลุ่มทุนผูกขาด และเกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ตนจึงเรียกร้องให้รัฐบาลแพทองธาร ยกเลิกโครงการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน เฟส 2 รอบ 3,600 เมกะวัตต์ และเร่งรัดการเปิดเสรีพลังงานสะอาด (Direct PPA) พร้อมขอให้ยกเลิกการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า โครงการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน เฟสแรก รอบ 5,200 เมกะวัตต์ ในส่วนที่ยังไม่ได้ลงนามด้วย” นายวรภพ กล่าว.