วอลต์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์ ประกาศระงับการพัฒนาโปรเจกต์ภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชั่นเรื่อง “Tangled” หรือ “ราพันเซล” อย่างไม่มีกำหนด สร้างความตกใจให้กับแฟน ๆ ของภาพยนตร์แอนิเมชั่นสุดฮิตเมื่อปี 2010

การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชั่นเรื่องล่าสุดของดิสนีย์ “สโนว์ไวท์ : Snow White” ทำรายได้ในบ็อกซ์ออฟฟิศได้อย่างน่าผิดหวัง โดยทำรายได้เปิดตัวเพียง 69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และทั่วโลก 145 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากทุนสร้าง 270 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (งบประมาณบานปลายจาก 240 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากการประท้วงของแรงงานในปี 2023) นอกจากนี้ ภาพยนตร์ “สโนว์ไวท์” ยังเผชิญกับข่าวพาดหัวที่เป็นประเด็นถกเถียงตั้งแต่เริ่มต้น ทั้งจากการคัดเลือกนักแสดง และการตัดสินใจเชิงสร้างสรรค์ ไปจนถึงช่วงโปรโมตภาพยนตร์ เนื่องจากโพสต์บนโซเชียลมีเดียของนักแสดงนำ ราเชล เซเกลอร์ แต่ สโนว์ไวท์ ก็ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีนักจากนักวิจารณ์และผู้ชม โดยผู้ชมให้คะแนน CinemaScore เพียง B+ (ซึ่งถือว่าไม่น่าพอใจ หากไม่ได้อยู่ในเกรด A) และปัจจุบันมีคะแนนวิจารณ์บนเว็บไซต์ Metacritic เพียง 50 เปอร์เซ็นต์

แหล่งข่าววงในของดิสนีย์เปิดเผยว่า ความล้มเหลวทางการเงิน และกระแสตอบรับที่ไม่ดีของ “สโนว์ไวท์” ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการตัดสินใจพักโปรเจกต์ “ราพันเซล” เนื่องจากสตูดิโอมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนสร้างภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชั่นจากแอนิเมชั่นคลาสสิกเรื่องอื่น ๆ ในขณะนี้

ถึงแม้จะยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าโปรเจกต์ “ราพันเซล” จะถูกยกเลิกอย่างถาวรหรือไม่ แต่การพักการพัฒนาอย่างไม่มีกำหนดนี้ ถือเป็นสัญญาณที่ไม่สู้ดีนักสำหรับแฟน ๆ ที่รอคอยภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชั่นของเจ้าหญิงผมยาว รวมทั้งแฟน ๆ ของนักร้องสาวป๊อปสตาร์คนดัง “ซาบรินา คาร์เพนเตอร์” (Sabrina Carpenter) ที่กำลังพิจารณารับบท ราพันเซล ฉบับไลฟ์แอ็กชั่น

การเคลื่อนไหวนี้ยังถูกมองว่า เป็นการปรับกลยุทธ์ของดิสนีย์ในการสร้างภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชั่น หลังจากที่ภาพยนตร์หลายเรื่องในช่วงหลังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ซึ่งรวมถึง “เงือกน้อยผจญภัย : The Little Mermaid” (รายได้รวม 570 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และ “มูฟาซา: เดอะ ไลอ้อน คิง” (รายได้รวม 718 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ที่แม้จะทำรายได้รวมทั่วโลกได้ดี แต่ก็ไม่สามารถสร้างปรากฏการณ์เหมือนกับภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชั่นเรื่องก่อน ๆ อย่าง “อลิซในแดนมหัศจรรย์ : Alice in Wonderland”, “อะลาดิน” และ “The Lion King” ในปี 2019

แฟน ๆ ของ “ราพันเซล” ต่างออกมาแสดงความผิดหวังผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย พร้อมทั้งเรียกร้องให้ดิสนีย์ทบทวนการตัดสินใจในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม อนาคตของภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชั่น “ราพันเซล” ยังคงเป็นเครื่องหมายคำถามที่ต้องรอติดตามกันต่อไป

อย่างไรก็ดี ในช่วง 15 เดือนข้างหน้า จะมีภาพยนตร์รีเมคไลฟ์แอ็กชั่นอีก 2 เรื่อง ที่จะเป็นตัวชี้วัดความต้องการของผู้ชม ซึ่งอาจเป็นตัวช่วยตัดสินใจว่า ดิสนีย์จะเดินหน้าโปรเจกต์ราพันเซลต่อไปหรือไม่ และภาพยนตร์ทั้ง 2 เรื่องก็มีสัญญาณที่ทำให้ดิสนีย์เชื่อมั่นว่า จะประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะ Lilo & Stitch ภาพยนตร์รีเมคจากแอนิเมชั่นปี 2002 ที่จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ วันที่ 23 พฤษภาคม 2025 โดยในช่วงการแข่งขันซูเปอร์โบว์ลปีนี้ คลิปโปรโมตที่มี Stitch บุก สนามแข่งขัน มียอดวิวถึง 173.1 ล้านครั้งภายใน 24 ชั่วโมง กลายเป็นคลิปโปรโมตดิจิทัลที่มียอดวิวสูงสุดของดิสนีย์ และตัวอย่างภาพยนตร์ก็เป็นตัวอย่างภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชั่นของดิสนีย์ที่มียอดวิวสูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ตลอดกาล

ขณะเดียวกัน ภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชั่น Moana มีกำหนดฉายในวันที่ 10 กรกฎาคม 2026 มีข้อได้เปรียบจากการสร้างจากภาพยนตร์ที่มียอดสตรีมสูงสุดเรื่องหนึ่งบน Disney+ โดยมียอดรับชมมากกว่า 1.4 พันล้านชั่วโมง ซึ่งดิสนีย์ชี้ให้เห็นว่าเทียบเท่ากับการสตรีมภาพยนตร์เรื่องนี้มากกว่า 735 ล้านครั้ง และภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเข้าฉายหลังจากภาพยนตร์แอนิเมชั่นภาคต่อ Moana 2 ทำรายได้ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2024 และกลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดอันดับ 3 ของปี 2024

สำหรับการสั่งพักโปรเจกต์ไลฟ์แอ็กชั่น ราพันเซล หรือ Tangled เกิดขึ้นในช่วงที่ผู้บริหารระดับสูงบางคน ที่วางรากฐานกลยุทธ์ภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชั่นของดิสนีย์ได้ลาออกจากตำแหน่ง และมีการแต่งตั้งผู้บริหารชุดใหม่เข้ามาแทนที่ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 โดย ดาเรีย เซอร์เซ็กได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าฝ่ายภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชั่นสำหรับฉายในโรงภาพยนตร์ ซึ่งขึ้นตรงต่อ เดวิด กรีนบอม ประธานของ Disney Live Action และ 20th Century Studios ที่เข้ามาแทนที่ ฌอน เบลีย์ เมื่อปีที่แล้ว.