ปิดสมัยประชุม สภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญประจำปีครั้ง 2 พ.ศ. 2568 ไปเรียบร้อยแล้ว หลังทั้งฝ่ายบริหาร นำโดย “พรรคเพื่อไทย (พท.)” ทำหน้าที่แกนนำรัฐบาล มี “พรรคประชาชน (ปชน.)” ทำหน้าที่แกนนำพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งการประชุมสมัยที่ผ่านมา มีญัตติสำคัญคือ การอภิปรายไม่วางวางใจ “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ซึ่งหัวหน้ารัฐบาลก็ผ่านพ้นมาได้ด้วยคะแนนไว้วางใจ 319 เสียง แต่ฝ่ายค้านก็มีนำบางประเด็นที่ได้อภิปรายไว้ ไปขยายผลต่อ คือการถือตั๋วสัญญาใช้เงิน (พีเอ็น) ที่อาจมีเจตนาส่อหลบเลี่ยงภาษี รวมทั้งข้อกล่าวหาหัวหน้ารัฐบาล ทำธุรกิจไม่ชอบด้วยกฎหมาย ใช้พื้นที่ต้นน้ำลำธารในป่าเขาใหญ่ ในนิคมสร้างตนเอง มีการออกโฉนดเป็นของครอบครัวตนเอง แล้วนำไปทำธุรกิจโรงแรมเทมส์ วัลลีย์ ที่ จ.นครราชสีมา ซึ่งคงต้องรอดูบทสรุป จะมีผลอย่างไร จะสร้างผลกระทบกับ น.ส.แพทองธาร หรือไม่
ขณะที่ในช่วงปิดสมัยประชุมสภา คงมีโอกาสได้ใช้เวลาในการทำงานเต็มที่ ไม่ต้องกังวลว่าฝ่ายค้านจะเวทีสภาในการตรวจสอบเรื่องต่างๆ ซึ่งเรื่องใหญ่ที่สุดที่ต้องเตรียมรับมือ คือ การเจรจากับ “นายโดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ กรณีการปรับขึ้นภาษีสินค้าไทย 36% ซึ่งแม้จะยืดเวลา 90 วัน แต่ไทยก็คงต้องทำการบ้านอย่างเต็มที่ เพื่อทำให้การเจรจามีประสิทธิภาพมากที่สุด
โดย “น.ส.แพทองธาร” ให้ความเห็นว่า ช่วงเวลา 90 วันถือว่าได้ทั้งหมดเกือบทุกประเทศ และคิดว่าเป็นเรื่องเวลาแต่ละประเทศต้องต่อคิวกันคุย เพราะมีจำนวนมาก ซึ่งแผนของเราที่จะทำในประเทศต้องเตรียมให้ดีขึ้น เรามองทุกมิติ และค่อนข้างจะครบอยู่แล้ว เหลือเวลาที่จะเข้าไปคุย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรมว.คลัง จะเดินทางไปพูดคุยวันไหน นายกฯ กล่าวว่า ยังไม่ได้กำหนดวันที่ชัดเจน ทางสหรัฐตอบรับมาแล้วแต่ยังไม่ได้คิวพูดคุย ส่วนการที่แต่ละประเทศต่อคิวคุย กับการที่ประเทศพันธมิตรในกลุ่มอาเซียนจับมือไปคุยจะมีพลังมากกว่าหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เราทำทุกรูปแบบ ทุกอย่างที่จะช่วยทั้งประเทศเราและอาเซียน ถ้าจับกับอาเซียนแล้วมีพลังกว่าก็เป็นเรื่องดี แต่เราต้องทำของประเทศเราด้วย และคิดว่าทุกประเทศทำเช่นนี้
ถือเป็นการบ้านข้อใหญ่ กับการแก้ปัญหาของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร เพราะเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศ ทั้งการส่งสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐมูลค่านับแสนล้านบาท ดังนั้นผลการเจรจาในครั้งนี้ จะถือเป็นมาตรวัดผลงานนายกฯ แพทองธาร ถ้าหากบทสรุปในการพูดคุยเป็นไปในทางบวก ย่อมช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้หัวหน้ารัฐบาล และทำให้ฝ่ายบริหารได้คะแนนไปเต็มๆ ซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่ถ้าผลออกเป็นลบ ก็ต้องรับผิดชอบไปเต็มๆ
ส่วนอีกประเด็นที่รัฐบาลต้องทำความเข้าใจกับประชาชน คือ ร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) ที่มี “กาสิโน” 10% ของพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมาถูกภาคประชาชน องค์กรต่างๆ ออกมาคัดค้านอย่างต่อเนื่อง จนหลายคนประเมินว่า ถ้าหากรัฐบาลยังเดินหน้าผลักดันต่อ อาจต้องเผชิญวิบากกรรมเช่นเดียวกับ “ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม” ฉบับสุดซอย รวมถึงท่าที “นายไชยชนก ชิดชอบ” เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ประกาศกลางสภา จะไม่มีวันยกมือโหวตร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ทำให้เกิดความไม่แน่นอนขึ้น แม้ “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภท. จะออกมาระบุ เป็นความเห็นส่วนตัว แต่เชื่อว่า น่าจะสร้างความหวาดระแวงให้พรรค พท. อยู่ไม่น้อย ดังนั้นการใช้เวลาทำความเข้าใจกับร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ในช่วง 3 เดือนต่อจากนี้ จะช่วยเปลี่ยนความคิดเห็นของคนในสังคมหรือไม่ และปัญหาในการทำงานของพรรคร่วมรัฐบาล จะมีรอยแตกร้าว จนนำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่
ขณะที่ท่าทีแกนนำพรรค พท. “นายสรวงศ์ เทียนทอง” รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเลขาธิการ พท. ให้ความเห็นกรณีนายไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ และเลขาธิการพรรค ภท. ประกาศกลางสภา ไม่เห็นด้วยกับกาสิโน ว่า อย่างที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และหัวหน้าพรรค ภท. พูดว่า เป็นความเห็นส่วนตัวของนายไชยชนก และจะมีการพูดกันภายในพรรค ภท. โดยให้พรรคเขาพูดคุยกันเอง ซึ่งตนสบายใจที่นายอนุทิน ออกมาพูดว่า สิ่งที่นายไชยชนก พูดไม่ใช่มติพรรค เมื่อถามว่าคนที่พูดเป็นถึงเลขาธิการพรรค ซึ่งเป็นรองแค่หัวหน้าพรรค นายสรวงศ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ยังเป็นรองกว่าหัวหน้าพรรค ตนฟังหัวหน้าพรรค เมื่อถามว่า ไม่จำเป็นต้องมาเคลียร์กันอีกครั้งใช่หรือไม่ นายสรวงศ์ กล่าวว่า ไม่เป็นไร เพราะการพูดในสภาเป็นเอกสิทธิ์ของ สส. และสิ่งที่นายไชยชนกพูดก็เป็นประโยชน์ ไม่ใช่ไม่มีประโยชน์ แต่ท่านอาจมีความกดดัน หรือเป็นความคิดส่วนตัว ที่ไม่สนับสนุน แต่อย่างที่บอกต้องมีการพูดคุยกัน
เมื่อถามว่าจะต้องมีการยื่นคำขาด ไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกหรือไม่ นายสรวงศ์ กล่าวว่า การอยู่ร่วมกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่างพรรคการเมือง ความคิดอาจไม่ได้เหมือนกัน 100% แต่เมื่อมาอยู่ด้วยกันแล้วต้องมีการพูดคุยกัน และไปในแนวทางเดียวกัน เมื่อถามย้ำว่า จะต้องมีการกดดันให้พรรค ภท. แสดงสปิริตหรือไม่ นายสรวงศ์ กล่าวว่า ไม่ต้องถึงขนาดนั้น ซึ่งเหมือนพรรค พท. ที่มีสมาชิกบางคนออกไปแสดงความคิดเห็น ถือเป็นเอกสิทธิ์ อาจจะเป็นสิ่งที่อยู่ในใจ แต่ด้วยความเป็นพรรคการเมืองแล้วมติพรรคสำคัญ เมื่อถามถึงกรณีสมาชิกพรรคบางคนในพรรค พท.เรียกร้องให้ปรับพรรค ภท.ออกจากพรรคร่วมรัฐบาล นายสรวงศ์ กล่าวว่า ไม่หรอกครับ การอยู่ร่วมกันต้องคุยกัน อย่างที่บอกบางท่านอาจจะมีความคิดเห็นว่า เมื่อไม่อยากอยู่ก็ออกไปเลย แต่ด้วยเสถียรภาพของรัฐบาล อย่างไรเราต้องอยู่ด้วยกัน ย้ำว่า จะต้องมีการพูดคุยกันมากกว่า เมื่อถามอีกว่า ในส่วนของพรรค พท. เมื่อพรรค ภท.ขอโทษแล้วถือว่าจบหรือไม่ นายสรวงศ์ กล่าวว่า ท่านหัวหน้าพรรคบอกจบ ก็คือจบ
ด้าน “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรค ภท. ให้สัมภาษณ์กรณีเรื่องกาสิโน และกระแสข่าวการถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาลว่า ไม่เคยมีเรื่องถอนตัว หรือยุบสภา เรื่องกาสิโนก็ไม่ใช่เรื่อง ที่ต้องใช้คำว่า กาสิโน เพราะใช้คำนี้ก็รู้สึกตกใจ เพราะใช้ชื่อพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หากมองเรื่องการเสริมสร้างเศรษฐกิจ จ้างคนให้มีงานทำ การหมุนเวียนเม็ดเงิน การลงทุนจะช่วยลดความกังวลของพี่น้องประชาชนได้ รายละเอียดต่างๆ เรื่องการป้องกันการหมกมุ่นกับการพนัน หรือการป้องกันไม่ให้คนทั่วไปได้เข้ามามีรายละเอียดอยู่ เมื่อถึงเวลาอันควรคงจะต้องหารือกันต่อไป
เมื่อถามว่ามีการปิดสมัยประชุมสภาแล้ว พรรค ภท.จะมีการจัดระเบียบภายในพรรคหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่มี หากไม่มีการประชุมสภา ก็จะมีการประชุมพรรคเดือนละ 1 ครั้ง ยกเว้นหากมีการประชุมสภาสมัยวิสามัญก็จะมีการประชุมพรรคสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เมื่อถามต่อว่าได้มีการพูดคุยกับนายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรค ภท.แล้วหรือไม่ หลังประกาศกลางสภา นายอนุทิน กล่าวว่า มีการนัดหมายช่วงเทศกาลสงกรานต์ นายไชยชนก แจ้งว่า จะมาหาช่วงสงกรานต์ ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่มีอะไร เบื้องต้นได้พูดคุยกับนายเนวิน ชิดชอบ บิดาของนายไชยชนกแล้ว ซึ่งมีการพูดคุยกันเป็นประจำทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรถแข่ง หรือฟุตบอล
นั่นหมายความว่า ทั้ง “พท.” และ “ภท.” พักรบ หยุดปัญหาความขัดแย้งไว้ชั่วคราว รอร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร เข้าสู่การพิจารณาในสภา จะมีปัญหาความเห็นต่างเกิดขึ้นอีกหรือไม่
ส่วนความเคลื่อนไหวของแกนนำพรรคฝ่ายค้าน “พรรค ปชน.” ใช้ช่วงเทศกาลสำคัญ เดินสายลงพื้นที่รับฟังปัญหาของประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ นำโดยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรค และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เข้าร่วมด้วย
สำหรับกิจกรรม จะแบ่งกันเป็น 2 สาย สายที่ 1 นายณัฐพงษ์ และสายที่ 2 นายพิธา เริ่มตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย. นายณัฐพงษ์ จะเยี่ยมชมการทำโคมศรีล้านนา ณ บ้านแยงบัว จ.ลำปาง ก่อนที่เวลา 15.10-17.00 น. ร่วมเล่นน้ำสงกรานต์ที่บริเวณหน้าสำนักงานไปรษณีย์ลำปาง ไปจบที่ห้างเสรีสรรพสินค้า ส่วนนายพิธา จะร่วมกิจกรรมประเพณี วิถีน้ำ วิถีไทย ณ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จ.เชียงใหม่ ก่อนที่เวลา 17.30-18.30 น. ร่วมเล่นน้ำสงกรานต์แยกรินคำ เมญ่านิมมาน
ส่วนวันที่ 13 เม.ย. นายณัฐพงษ์ จะเดินชมงานกิจกรรมสงกรานต์ประตูท่าแพ จ.เชียงใหม่ เวลา 10.00-11.00 น. ก่อนที่จะไปเจอนายพิธา เวลา 13.00-15.30 น. ร่วมพิธีขบวนแห่สรงน้ำพระพุทธรูป หน้าโรงเรียนจักรคำคณาทร และร่วมเล่นน้ำสงกรานต์ พบปะ เยี่ยมชม ร้านค้าชุมชนบริเวณศูนย์นักท่องเที่ยวเชิงสะพานท่าขาม จ.ลำพูน ร่วมกัน
ถือเป็นภารกิจพรรคฝ่ายค้าน ในการเดินสายพบปะประชาชน เพราะในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พรรคสีส้ม ในพื้นที่ภาคเหนือ ก็กวาดเก้าอี้ สส.ได้หลายที่นั่ง อีกทั้งในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ก็ตั้งเป้าหมาย ต้องได้เสียง สส. เกินครึ่ง เพื่อเป็นแกนนำรัฐบาล จึงใช้ทุกช่วงเวลาให้มีค่า.
“ทีมข่าวการเมือง”