ท่ามกลางบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยความผันผวน จากการที่ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ต่อระบบการค้าระหว่างประเทศด้วยการประกาศขึ้นภาษีตอบโต้กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก แม้ “ทรัมป์” จะยืดเวลาออกไปอีก 60 วัน ยกเว้นเพียงประเทศจีน เท่านั้น ที่ยังประกาศขึ้นภาษีตอบโต้กันไปมา

แม้นโยบายของ “ทรัมป์ 2” จะคล้ายคลึงกับสมัย “ทรัมป์ 1” แต่ในครั้งนั้นเน้นเป้าหมายหลักไปที่ประเทศจีน เพื่อเจรจาปรับดุลการค้า แต่ในครั้งนี้… กลับขยายผลไปทั่วโลกอย่างกว้างขวาง จนเกิดความกังวลว่าจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “สงครามการค้าระดับโลก” หากทั้งสองมหาอำนาจไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้

บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด หนึ่งในบริษัทที่ได้รับใบอนุญาต เป็นผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัล ภายใต้การดูแลกำกับ จากสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ออกมา วิเคราะห์ถึงทางออกที่เป็นไปได้ของสถานการณ์นี้ไว้ 3แนวทางหลัก ได้แก่

1. ประเทศจีน ต้องยอมอ่อนข้อและเข้าร่วมเจรจา

2. ประเทศสหรัฐฯ ต้องยอมอ่อนข้อและเข้าร่วมเจรจา

3. ธนาคารกลางของประเทศเข้ามาแทรกแซง

โดยประเมินว่า… แนวทางสุดท้ายนี้ ถือว่ามีความเป็นไปได้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม หากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวก่อนการแทรกแซงอย่างเป็นทางการ อาจสะท้อนถึงภาวะที่ตลาดเข้าสู่จุดอ่อนแออย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจหรือการถดถอย (Recession)ได้  โดยในจังหวะนั้นBitcoin อาจมีโอกาสฟื้นตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ และถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนบางกลุ่ม ในการพิจารณาสะสมสินทรัพย์ดังกล่าวในระยะยาวหรือทยอยลงทุนแบบDCA

ในภาวะที่ตลาดการเงินทั่วโลก ยังมีความผันผวนสูง นักลงทุนส่วนใหญ่เลือกถือครองเงินสดเป็นหลัก เพื่อรอดูทิศทางที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากมุมมองระยะยาวBitcoin อาจเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มีแผนลงทุนอยู่แล้ว โดยระดับราคาที่ต่ำกว่า70,000 บาทต่อหน่วย ถือเป็นราคาเริ่มต้น นับตั้งแต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่ง และหากปรับฐานลงมาใกล้ระดับ50,000 บาท ก็อาจเป็นระดับราคาที่มีนัยสำคัญ เนื่องจากเคยเป็นช่วงเวลาที่สหรัฐอเมริกาประกาศเปิดตัวSpot Bitcoin ETFเป็นครั้งแรก

นอกจากนี้ หากอ้างอิงจากดัชนีวัดมูลค่าตลาดอย่างMVRV (Market Value to Realized Value) ซึ่งถือเป็นเครื่องมือหนึ่งในการประเมินความคุ้มค่าของBitcoin ในเชิงสถิติ ระดับที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในระยะยาว มักอยู่ที่ค่า MVRVต่ำกว่า1โดยปัจจุบัน ค่าMVRVที่ระดับ1เทียบเท่าราคาประมาณ43,000ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อBitcoinหากราคาเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับดังกล่าว อาจเป็นจุดที่นักลงทุนบางส่วนพิจารณาเข้าซื้อเพื่อการลงทุนในระยะยาว

บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด ระบุเพิ่มเติมอีกว่า ในช่วงที่สินทรัพย์หลากหลายประเภททั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เช่น หุ้นขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ที่ลดลง10–30% ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ นักลงทุนควรหันกลับมาทบทวนเป้าหมายการลงทุนของตนเอง ว่า ผลตอบแทนที่ต้องการ เช่น10–15% ต่อปีนั้น สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดหรือไม่ หากไม่มีสินทรัพย์ใดสามารถให้ผลตอบแทนตามเป้าได้ในช่วงเวลานั้น การรักษาเงินต้นก็อาจถือเป็น “การชนะตลาด” ในอีกแง่มุมหนึ่ง เช่น การลงทุนในพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทน3% ต่อปี ยังนับว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าการถือครองหุ้นที่ขาดทุนถึง30% ซึ่งหากสามารถบริหารจัดการเช่นนี้ได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว ก็จะส่งผลให้พอร์ตการลงทุนเติบโตได้อย่างมั่นคง

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญก่อนการลงทุน คือการศึกษาและทำความเข้าใจสินทรัพย์อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความผันผวนสูง ผู้ลงทุนควรตระหนักถึงโอกาสและความเสี่ยงในทุกมิติ ทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว รวมถึงติดตามทิศทางเศรษฐกิจมหภาคในช่วง1-2 ปีข้างหน้าอย่างใกล้ชิด

สุดท้ายนี้ สิ่งที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือ “การรู้จักตนเอง” วางเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน สอดคล้องกับความเป็นจริงของเศรษฐกิจโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเรียนรู้ที่จะยอมรับความเสี่ยงตามระดับความสามารถในการรับมือ เพื่อให้พอร์ตการลงทุนสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

ทั้งนี้คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัล มีความเสี่ยงสูง ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจํานวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสม กับระดับความเสี่ยงทียอมรับได้ และบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอข้อมูลเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุนแต่อย่างใด การลงทุนมีความเสี่ยง ควรวิเคราะห์อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน.