เมื่อวันที่ 17 เม.ย.68 กลายเป็นกระแสร้อนแรงในกลุ่มอนุรักษ์ขึ้นมาทันใด หลังปรากฏข่าว ทราย สิรณัฐ สก๊อต นักอนุรักษ์ อดีตที่ปรึกษาอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช หลังเจ้าตัวเผยคลิปเหตุการณ์ปะทะคารมกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่มีพฤติกรรมเหยียดผิว ผ่านไอจี psiscott ของตัวเอง โดยทราย ระบุว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นบนเรือที่นักท่องเที่ยวลำหนึ่งเครื่องเสีย และชายชาวต่างชาติกล่าวคำว่า “หนีเห่า” ต่อหน้าเขาอย่างหยาบคาย เขาจึงตักเตือน แต่ฝ่ายนั้นกลับไม่สำนึก จึงสั่งให้เรือกลับฝั่งเพื่อพูดคุยและอธิบายว่าการเหยียดคนไทยหรือชาวเอเชียเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้
ทรายเขียนในโพสต์ว่า ตั้งใจเผยแพร่คลิปเพื่อส่งกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ไทย และย้ำว่า แม้เขาจะมาเที่ยวประเทศเรา แต่ไม่ได้หมายความว่าเขามีสิทธิ์เหยียดคนไทย ซึ่งมีบางกลุ่ม ไม่เคารพกฎกติกาของเจ้าบ้าน อีกทั้งยังไม่ให้เกียรติ และเหยียดคนท้องถิ่น
สำหรับก่อนหน้านี้ ทราย สิรณัฐ สก๊อตได้โพสต์ข้อความหลังยุติบทบาทการเป็นเจ้าที่หน้าที่อุทยานฯ พร้อมข้อความว่า “ผมเลือกที่เสียสละงานที่ผมรักกับตำแหน่ง ของผม เพื่อโอกาสที่จะสะท้อนเรื่องจริงของ ปัญหาทะเลทางภาคใต้ เหนือกว่าตำแหน่ง ผมคือความรักที่ผมมีต่อทะเล ขอบคุณ สำหรับทุกประสบการณ์และผมเป็นกำลังใจ ให้เจ้าหน้าที่เสมอ…ผมเดินต่อครับ”

พร้อมแนบภาพแชตไลน์ที่ส่งหา อธิบดีกรมอุทยานฯ ใจความว่า ทรายไม่ได้รู้สึกไม่ดีนะครับถ้าอธิบดีจะถอนทรายจากตำแหน่ง ทรายได้ทำเต็มหน้าที่และดีใจที่สังคมเขาเห็นด้วย กับสิ่งที่ทรายได้ทำร่วมกับอุทยาน ตอนนี้คนได้เห็นนิสัยที่แท้ของ บริษัททางภาคใต้ ซึ่งปัญหาเรื่องนี้มันสะสมจากการเพิกเฉย ของคนในพื้นที่ และเจ้าหน้าที่ของเราเอง จนส่งผลให้แนวปะการังและทรัพยากรเรา เสื่อมโทรม..ถึงขั้นว่าหลายจุดฟื้นตัวกลับมายากตั้งแต่เริ่มทรายประเมินว่าการช่วยอุทยาน ในภารกิจอนุรักษ์ทางดีที่สุดทรายต้องสะท้อนเรื่องจริงและออกมาพูดในสิ่งที่ เจ้าหน้าที่ต้องเจอ (ไม่ได้กล่าวถึงว่าเจ้า หน้าที่เราเองทำหรือไม่ทำเพราะทรายทำเป็นตัวแทนให้) แม้ว่ามันจะส่งผลให้คนในพื้นที่ไม่ชอบทราย แทนที่จะไม่ชอบอุทยาน ทรายยอมรับในผลเพื่อภารกิจแล้วทรายรู้ว่าสิ่งที่ทรายได้ทำจะเห็นผลและดีกับภารกิจอนุรักษ์ในระยะยาวเพื่อแก้ไขภาพ มาตรฐานการท่องเที่ยวที่ล้มเหลวตอนนี้ครับทรายไม่อยากให้อธิบดีอึดอัดครับทราย ขอบคุณทุกๆ ประสบการณ์เสมอครับ….
ในส่วนคอมเมนต์นั้นก็มีผู้คนมาแสดงความเห็นกันมากมาย ทั้งชาวไทยและต่างชาติ มีข้อความหนึ่งที่น่าสนใจจาก ดีเจ. มะตูม ใจความว่า …จากที่เคยอาศัยอยู่ในยุโรปมาเกือบ 20 ปี ขอยืนยันว่าคำว่า ni hao คือเหยียดแบบรุนแรงครับ เจอมาตลอดตั้งแต่ high school ยันที่ office โดยจะมองพวก asia ผมดำ และทำท่าล้อเลียนเอามือมา ดึงหางตาให้ตี่ๆ และตะโกนว่า ni hao และหัวเราะกันเสียงดัง คือผมอยู่กับสังคมนี้มานานจนชิน บางทีก็ตะโกน konishiwa แล้วก็ทำท่าตลกๆ หรือแบบ เดินข้างถนนจู่ๆ ก็กระโดดมาด่าเลยก็มี ฝั่ง Asia เราโดนหนักมากๆ ถ้าย้อน ไป 20 ปีก่อนนะคับ เพราะฉะนั้นถ้าคุณทรายโดนออกจากงานตรงนี้เพราะ ปกป้องประเทศไทยในมุมสายตาชาว โลก ผมขอซัพพอร์ตสุดใจ อย่าลืมนะ ครับ บางประเทศก็เซนซีทีฟครับ นักท่องเที่ยวควรศึกษาข้อมูล กฎระเบียบ กาละ เทศะแต่และประเทศของพวกคุณที่จะไปกันด้วยครับ ลองมองดีๆ ถ้าเคสนี้คนไทย ไปทำที่ชาติอื่นเราอาจคงโดนหนักกว่า เชิญออกจากหาดแน่ครับ ขอให้คุณ ทรายอยู่ซัพพอร์ตทะเลไทยต่อไปให้สมกับที่ชื่อทรายครับ…

สำหรับ ทราย สิรณัฐ สก๊อต นั้น อายุ 26 ปี เป็นทายาทรุ่นที่ 4 ของ สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ลูกชายของ “จีรานุช ภิรมย์ภักดี” กับอดีตสามีชาวสก็อต จบการศึกษาปริญญาตรีด้านแอนิเมชันจาก California Institute of the Arts สหรัฐอเมริกา เข้ารับตำแหน่งที่ปรึกษาอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เมื่อ 2 ม.ค.67
ทราย สิรณัฐ สก๊อต เริ่มสนใจการอนุรักษ์ทะเลตั้งแต่อายุ 20 ปี และก่อตั้งโครงการ “Sea You Strong” ด้วยทุนส่วนตัว โดยชวนชุมชนเก็บขยะจากชายหาดต่าง ๆ ทั่วภาคใต้
ในปี 2565 เขากลายเป็นที่รู้จักในนาม “อควาแมนเมืองไทย” หลังว่ายน้ำเดี่ยวข้ามทะเลจากหาดอ่าวนางไปเกาะปอดะและกลับ รวมระยะทางเกือบ 30 กิโลเมตร ใช้เวลา 6 ชั่วโมง เพื่อพิสูจน์ความรักที่มีต่อท้องทะเล
ทรายยังเคยสร้างหนังสั้นเรื่อง Merman ซึ่งเขารับบทเป็นมนุษย์เงือก ถ่ายทอดความงดงามและปัญหาขยะใต้ทะเล พร้อมรณรงค์ให้คนไทยตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ที่ผ่านมาเป็นกระบอกเสียงคอยสะท้อนปัญหาของทะเลไทยมาโดยตลอด ทั้งในโซเชียล และลงพื้นที่ในฐานะเจ้าหน้าที่อุทยาน คอยสื่อสารตักเตือนนักท่องเที่ยวที่ทำผิดกฎ เพื่อปกป้องทรัพยากรทางทะเลของไทย นอกจากนี้ยังเลยออกมาพูดเรื่องเงินเดือนของเจ้าหน้าที่และลูกจ้างชั่วคราวของอุทยานฯ ที่มีค่าตอบแทนต่ำ และไม่มีประกันชีวิตทั้งที่ทำงานเสี่ยงอันตรายอีกด้วย.