เมื่อวันที่ 19 เม.ย. นายสุทา ประทีป ณ ถลาง อดีต สส.ภูเก็ต พรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดราม่าความขัดแย้งระหว่างนายสิรณัฐ สก๊อต หรือทราย สก๊อต หนุ่มนักอนุรักษ์ทางทะเล ทายาทสิงห์รุ่น 4 ตระกูลภิรมย์ภักดี ที่ปรึกษาอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และนักอนุรักษ์ทะเล กับผู้ประกอบการท่องเที่ยวและชาวบ้านในพื้นที่ ว่า การปฏิบัติหน้าที่ของนายสิรณัฐ ชาวบ้านมีความอึดอัดในเรื่องของการใช้อำนาจ และเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เองก็มีความอึดอัดด้วย เพราะว่าเกรงจะกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่เลยต้องโอนอ่อนตาม ซึ่งโดยหลักการ ตำแหน่งที่ปรึกษาอธิบดีกรมอุทยานฯ การเข้าไปในพื้นที่อุทยานฯ ต้องรายงานและได้รับอนุญาตจากหัวหน้าอุทยานฯ ในการดำเนินการต่างๆ แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่น่าจะผ่านกระบวนการนี้ อย่างไรก็ตาม ในเรื่องความตั้งใจของนายสิรณัฐในเรื่องการอนุรักษ์ ทุกคนชื่นชมและเห็นด้วย แต่การที่เขาไปสร้างคอนเทนต์ให้ร้ายคนอื่นนั้น เอาไปประติดประต่อโดยที่บริษัทนั้นไม่ได้ทำ แต่มีการโพสต์ประจานทำให้เขาเสียหายทางธุรกิจ ทั้งนี้ ตนเห็นด้วยหากมีการทำผิดต่อทรัพยากรธรรมชาติ ก็ให้ปรับหรือดำเนินคดีไปเลย แต่อย่าไปทำในลักษณะการใช้อำนาจที่ทำให้เกิดความไม่พึงพอใจอื่นๆ ระหว่างกัน เช่น การเหยียด หรือการกระโชกโฮกฮากใส่ มันต้องใช้ความอดทน และให้เจ้าหน้าที่เขามีอำนาจเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งนายสิรณัฐไม่ได้มีอำนาจในการจับกุม ต้องเอาเจ้าหน้าที่ไปร่วมในการดำเนินการเหล่านี้

“อีกอย่างการที่เขาให้สัมภาษณ์ว่าต่างชาติมาเหยียดคนไทยนั้น เวลาที่เขาไปเหยียดชาวบ้านที่ไม่จบ ป. 4 อย่างนี้ เขาก็เหยียดด้วยหรือเปล่า ฉะนั้นผมดูว่าพฤติกรรมของเขามันต้องปรับปรุง ซึ่งคนที่ไม่ได้รู้พฤติกรรมเขาอาจจะชื่นชมคุณทราย แต่เรื่องการอนุรักษ์ เรื่องของผลกระทบต่อทรัพยากรนั้น มันเกิดความเสียหายจากหลายกระบวนการ ไม่ใช่เฉพาะนักท่องเที่ยว ซึ่งการพัฒนาพื้นที่บนฝั่งสำคัญมาก ตรงนี้ได้เอามาพูดด้วยหรือไม่ ซึ่งความเสียหายของทรัพยากรทุกวันนี้ ผมยืนยันว่าการพัฒนาบนฝั่งทำให้ทรัพยากรเราเสียหาย โดยเฉพาะเกาะต่างๆ ที่เป็นพื้นที่ทรัพยากรสมบูรณ์ เราปล่อยให้มีการสร้างโรงแรม เกาะนั้นจะไม่เหลืออะไรเลย ยกตัวอย่างเกาะสิมิลัน ปะการัง อาจจะ 3-4 ปี ตายครั้งหนึ่ง เกิดจากการฟอกขาวที่มีปัจจัยในเรื่องกระแสน้ำ ไม่ใช่เกิดจากนักท่องเที่ยวอย่างเดียว”

นายสิทา กล่าวว่า ดังนั้นการที่เรามีทรัพยากร แล้วเราขายการท่องเที่ยว ตนว่าต้องละเอียดอ่อนมากกว่านี้ เราก็ไม่อยากให้ต่างชาติหรือว่าคนใดคนหนึ่งมาทำลาย ซึ่งการที่นายสิรณัฐพูด ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องว่าปัจจุบันมีไกด์เถื่อนที่อ้างว่าเป็นนักท่องเที่ยวแล้วมาประกอบอาชีพ แย่งอาชีพคนไทยเป็นเรื่องจริง ซึ่งสิ่งที่นายสิรณัฐทำมีเรื่องดีเยอะแยะ ไม่ใช่ว่าจะไปตำหนิอะไรเขาในส่วนนี้ แต่บางทีเอาความไม่จริงไปโพสต์ ซึ่งมีบางบริษัทมาเล่าให้ตนฟังว่าเขาอึดอัด และมีการนำไปฟ้องร้องกันด้วย เช่น การเอาภาพที่มีการไปจับปลาในน้ำ ซึ่งเราตรวจสอบแล้วเป็นไกด์จีน แต่เขาเอาภาพนี้ไปรวมกับบริษัทหนึ่ง ว่าบริษัทนี้ไม่ควบคุมนักท่องเที่ยว มีการไปจับเต่า และปลาปักเป้า เป็นการบิดเบือนความจริง ทางบริษัทดังกล่าวขอให้ลบภาพนั้น แต่ปัจจุบันเขายังไม่ลบเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ชาวบ้านอึดอัด

“พูดง่ายๆ ว่าตระกูลเขาค่อนข้างจะมั่งมี ทำให้ชาวบ้านอึดอัดว่ามีเส้นใหญ่ แล้วทำอะไรไม่ได้  อย่างพฤติกรรมบางทีเขาไปหิ้วนักท่องเที่ยวขึ้นมาในลักษณะที่ค่อนข้างรุนแรง เท่าที่ผมฟังๆดู แต่ว่าผมยังไม่เห็นด้วยตา ตรงนั้นชาวบ้านเขาก็คิดว่าน่าจะมีผลกระทบกันเยอะ” นายสุทา กล่าว

เมื่อถามว่าเมื่อเกิดประเด็นแบบนี้ขึ้นมาแล้ว ต้องการให้กรมอุทยานฯ ดำเนินการอย่างไรบ้าง นายสุทา กล่าวว่า กรมอุทยานฯมีกติกา และระเบียบปฏิบัติ ซึ่งนายสิรณัฐ เป็นที่ปรึกษาฯ การเข้าพื้นที่จะต้องรายงานหัวหน้าอุทยานฯ และการที่เขาจะมาโพสต์อะไรมันต้องได้รับความยินยอมและเห็นชอบจากหัวหน้าอุทยานฯ ก่อน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่อุทยานฯ เพราะตรงนี้ชาวบ้านก็มองไปในเรื่องว่าอุทยานฯ รังแกเขาด้วย ซึ่งตนมองว่าหัวหน้าอุทยานฯ เขาก็กลัวนายสิรณัฐด้วยหรือไม่ ซึ่งถ้าตำแหน่งที่ปรึกษาอย่างเดียวตนว่าเขาไม่น่าจะกลัวอะไร แต่อาจจะกลัวตำแหน่งสถานะทางสังคมของตระกูลของเขา ชาวบ้านธรรมดาใครเป็นลูกคนรวยหรือลูกคนมีอิทธิพลเขาจะกลัว เช่น ไปแจ้งความแล้วอาจไม่ได้รับความเป็นธรรม ตรงนี้มันก็อึดอัดกันหมด มันเลยปะทุขึ้นมาในสังคม ส่วนที่เขาถูกกระทำเลยมีกระแสออกมา

เมื่อถามว่าในเรื่องตำแหน่งที่ปรึกษาอธิบดีกรมอุทยานฯ ควรดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร นายสุทา กล่าวว่า ตนทราบว่าอธิบดีกรมอุทยานฯ ก็ได้มีการกำชับเรื่องนี้ ซึ่งข่าวที่ระบุว่ามีการปลดนั้น ซึ่งท่านก็ไม่ได้ปลด เป็นวิธีการหนึ่ง ที่ตนมองว่าเป็นลักษณะที่ทำให้เกิดความปรองดอง และมาทำอะไรต่างๆ ให้ถูกต้อง นายสิรณัฐอยากอนุรักษ์ ชาวบ้านเขาก็ชื่นชมและเป็นเรื่องดี ตนก็ทำมาทั้งชีวิตในเรื่องการอนุรักษ์ แต่ว่าอย่างที่นายสิรณัฐพูดว่าบางทีเป็นความบกพร่องของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่บางคนก็ทุจริตมันก็มี นายสิรณัฐไม่ได้พูดผิดอะไร ยืนยันว่าสิ่งที่นายสิรณัฐทำไว้และเป็นเรื่องดีมีเยอะ แต่มีเรื่องเดียวคือการปฏิบัติระหว่างตัวบุคคล

ผู้สื่อข่าวถามว่ายังต้องการให้นายสิรณัฐ ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวข้องกับกรมอุทยานฯ ต่อหรือไม่ นายสุทา กล่าวว่า ตนคิดว่าเป็นการตัดสินใจของตัวเขาเอง ถ้าหากเขากลับมาในลักษณะที่อะลุ้มอล่วย ปฏิบัติตัวเป็นมิตรกับทุกคน ไม่ไปเหยียดเขา ตนคิดว่าทุกคนก็ยินดี ฟังเสียงจากผู้ประกอบการ เขาก็ไม่ได้ถึงกับว่าเกลียดชัง แต่ว่าตอนนี้มันมีผลกระทบกับเขา มันจึงเกิดการต่อต้านขึ้นมา แต่ถ้าเขาทำในเรื่องที่ถูกต้อง ตนคิดว่าไม่มีใครปฏิเสธ เพราะสิ่งที่เขาตั้งใจเป็นเรื่องดี ซึ่งสิ่งที่เขาควรปรับตัวหากกลับมาทำงานด้านการอนุรักษ์ต่อ คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องการพูด ซึ่งเขาพูดเอาดีใส่ตัวเขา สร้างตัวเองให้มีอะไรขึ้นมาว่าเขาเป็นนักอนุรักษ์ ซึ่งสิ่งนั้นมันเกิดผลกระทบต่อจิตใจคนอื่น ตนทำเรื่องอนุรักษ์มาครึ่งชีวิต รวบรวมชาวบ้านอนุรักษ์ป่าชายเลน ภูเก็ต เพิ่มขึ้นมาเป็นพันๆ ไร่ เราเอาชาวบ้านเข้ามาจากการที่ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่รัฐขัดแย้งกัน แต่สุดท้ายก็มารวมกลุ่มกันได้ ซึ่งเรื่องนี้ต้องใช้ความเอื้ออารีต่อกัน จึงจะทำงานอนุรักษ์ได้ ถ้าเกิดความขัดแย้ง ความโกรธ ไม่มีทางสำเร็จ เพราะจะทำให้เกิดการทำลาย.