เมื่อวันที่ 19 เม.ย. 68 พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึง กรณีที่ผู้ขับขี่และญาติของฝ่ายรถกระบะร้องขอความเป็นธรรมถึงอุบัติเหตุ BMW ป้ายแดง โดยที่คู่กรณีเป็นลูกนักการเมืองท้องถิ่น ว่า พี่น้องประชาชนมีความเป็นห่วงถึงการสอบสวนดำเนินคดี เนื่องจากคู่กรณีได้กล่าวอ้างว่า รู้จักผู้ใหญ่จำนวนมาก พนักงานสอบสวน ระดับรองสารวัตร หรือสารวัตร อาจจะเกรงกลัว หรือเกรงใจ ส่วนตัวตนมีความเป็นห่วงในเคสนี้ เพราะเป็นเรื่องค่อนข้างละเอียดอ่อน เนื่องจากเป็นการกระทำผิด ต่างกรรมต่างวาระ ต่อเนื่องกัน และอยู่ในเขตพื้นที่การสอบสวนหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจภูธรภาค 1 ซึ่งรับผิดชอบ สภ. ที่รับผิดชอบคดีอาญาในเขตพื้นที่เกิดเหตุ และกองบังคับการตำรวจทางหลวง ซึ่งดูแลรับผิดชอบคดีจราจรที่เกิดขึ้น 

พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวต่อว่า ตำรวจหรือพนักงานสอบสวน ต้องพิจารณาว่า จะรวมหรือแยกคดี และใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ หรือใครเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน โดยสังเกตจากพยานหลักฐานที่ปรากฏในภาพวงจรปิด จะมีการที่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายเปลี่ยนช่องทางเดินรถตอนออกจากด่านเก็บเงินค่าผ่านทาง และมีลักษณะคล้ายกับจะเบียดกันบริเวณช่องทางที่สาม ซึ่งคดีแรกนั้น เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 ซิ่งอยู่ในความรับผิดชอบของทางหลวง 8 กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจทางหลวง ส่วนการที่คู่กรณีฝ่ายหนึ่งพยายามขับรถปาดหน้าไปมา และไปเฉี่ยวชนรถกระบะในช่วงท้ายนั้น จากพยานหลักฐาน กล้องวงจรปิดที่สื่อมวลชนทุกสำนักนำเสนอ จะเห็นได้ชัดว่า ในระหว่างเกิดเหตุในช่วงที่สองนี้ คู่กรณีขับรถปาดหน้าเบียดรถกระบะเป็นระยะๆ และในช่วงท้ายก่อนเกิดเหตุ ได้มีการเบียดเข้ามาในช่องทางของรถกระบะและชนรถกระบะเพื่อให้เสียหลัก กรณีดังกล่าว พนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบควรเป็น สภ. พื้นที่ หากการสอบสวนปรากฏหลักฐานว่า คู่กรณีมีเจตนาหรือจงใจที่จะก่อให้เกิดความเสียหาย ไม่ใช่เป็นการขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินเสียหายหรือเกิดอันตรายแก่กายและจิตใจของผู้อื่น ตามตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4) แต่จะเป็นความผิดฐานขับขี่รถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย หรือความเดือดร้อนของผู้อื่น อันเป็นความผิดตาม มาตรา 43 (8) ระบุว่า “ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 2,000 ถึง 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” 

โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ หากพยานหลักฐานปรากฏชัดว่า คู่กรณีกระทำโดยประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น จะเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บสาหัส อันเป็นความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 297 ความผิดฐานต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 10 ปี หากแพทย์ที่ทำการตรวจรักษาลงความเห็นว่า การบาดเจ็บของผู้ได้รับบาดเจ็บอาจจะเป็นสาเหตุให้ถึงแก่ความตายได้ การกระทำดังกล่าวอาจจะเป็นฐานพยายามฆ่า ซึ่งเป็นความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 80  มาตรา 288 ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี (ความผิดฐานพยายามฆ่า ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกําหนด)

“ผมขอชื่นชมและให้กำลังใจตำรวจทางหลวง 8 กองกำกับการ 2 ทล. ที่ทำอย่างตรงไปตรงมา ไม่เกรงกลัวอิทธิพลใดๆ แม้ว่าคู่กรณีจะกล่าวอ้างอย่างไรก็ตาม ควรดำเนินการตามระเบียบและกฎหมาย สมเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ และขอบคุณท่าน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ที่ได้สั่งการให้ดำเนินคดีตามกฏหมายอย่างตรงไปตรงมา เท่าที่ติดตามข่าว ยังไม่เห็นว่าได้มีการพิจารณาในความผิดฐานขับขี่รถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย หรือความเดือดร้อนของผู้อื่น อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (8) และมีการตรวจสอบป้ายทะเบียน (ป้ายแดง) ว่าเป็นป้ายที่ออกโดยกรมการขนส่งทางบกหรือไม่ เป็นป้ายทะเบียนปลอมแล้วหรือไม่อย่างไร“ พล.ต.ท.ปิยะ กล่าว

พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวถึงกรณีที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ว่า ฝ่ายค้านพยายามโยงให้มีการเกี่ยวข้องกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แบบ “จับแพะชนแกะ” ว่า ท่านอาจจะได้ข้อมูลผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อน จึงอยากอธิบายให้ท่านเข้าใจว่า เคสนี้ประชาชนและสังคมไม่ได้ให้ความสำคัญว่า คู่กรณีสังกัดพรรคเพื่อไทยหรือไม่ เพราะว่าไม่เกิดประโยชน์กับสังคมแต่อย่างใด และที่สำคัญฝ่ายค้าน ไม่ได้โยงแบบ “จับแพะชนแกะ” ตามที่ท่านเข้าใจ ท่านอาจจะได้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ที่สำคัญ ภาพที่ประชาชนและสังคมเห็นนั้น คู่กรณีมีความสนิทสนมกับนายทักษิณ และผู้ใหญ่คนอื่นๆ ซึ่งคนของท่านพูดเอง จนเป็นเหตุให้สังคมหวั่นไหวและให้ความสนใจ จะเป็นใครเป็นคนพูดนั้น รองนายกรัฐมนตรี คงหาตัวไม่ยาก เพราะทั้งตำรวจทางหลวง  ญาติผู้เสียหาย และโซเชียลมีเดีย เช่น ดาวแปดแฉก อีซ้อขยี้ข่าว ฯลฯ หาตัวคนพูดไม่ยาก.