หลังจากรอคอยกันมานานตั้งแต่ปลายเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ว่า พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ที่ทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้เสนอแก้ไข เพื่อให้สามารถใช้แก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จะมีผลบังคับใช้
แต่ด้วยเหตุผลทางเทคนิคจนแล้วจนรอด ก็ต้องรอถึงช่วงสงกรานต์ เมื่อวันที่ 12 เม.ย. ที่ผ่านมา เว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษา ได้ประกาศกฎหมาย 2 ฉบับ คือ พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 และพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ลงราชกิจจานุเบกษา
ส่งผลให้ พ.ร.ก. ทั้ง 2 ฉบับนี้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป หรือในวันที่ 13 เม.ย. 68 ที่ผ่านมา
แน่นอนว่า เจ้ากระทรวงดีอี คือ “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ดีอี ที่รับบทหนักทั้งผลัก ทั้งดันกฎหมายนี้อย่างสุดตัว ยืนยันว่า จะเป็นประโยชน์กับประชาชน

“ประเสริฐ จันทรรวงทอง” บอกว่า พ.ร.ก.ทั้งสองฉบับ จะมีประโยชน์กับประชาชน ทั้งช่วยการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ช่วยยับยั้งการใช้ซิมผี บัญชีม้า การส่งเอสเอ็มเอส แนบลิงก์ ฯลฯ และยังช่วยให้เกิดการทำงานบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีการกำหนดมาตรการการมีส่วนร่วมรับผิดชอบของธนาคาร ผู้ให้บริการมือถือ และ แพลตฟอร์มดิจิทัล ช่วยลดการสร้างความเสียหายให้กับประชาชน และยังกำหนดให้ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เป็นหน่วยงานหลักในการกำหนดวิธีการ หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขในการเยียวยาความเสียหายให้กับประชาชน ช่วยให้กระบวนการคืนเงินผู้เสียหายที่อายัดได้ทำได้เร็วขึ้น เป็นต้น
อย่างไรก็ตามเดิมนั้นทาง กระทรวงดีอี ได้เสนอให้แก้ไข พ.ร.ก.ฉนับเดียว คือ พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามฯ แต่เมื่อเรื่องอยู่ในการพิจารณของ “คณะกรรมการกฤษฎีกา” เห็นว่าควรนำเรื่องซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ไปรวมกับ พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัลฯ ที่เป็นกฎหมายหลักจะดีกว่า สุดท้ายแล้วจึงมีการเสนอแก้ในส่วนของ พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัล ด้วย เพื่อให้อำนาจในการควบคุมดูแล ไปอยู่กับหน่วยงานกำกับดูแล คือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต.
ซึ่ง พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัล ฉบับที่ 2 ที่ออกมาบังคับใช้นั้น ได้มีการควบคุมธุรกรรมการแลกเปลี่ยนบุคคลสู่บุคคล (peer-to-peer หรือ P2P) ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล และคริปโตเคอร์เรนซี โดยให้อำนาจ ก.ล.ต. ในการกำกับดูแล รวมถึงการจัดการกับแพลตฟอร์มต่างชาติที่มีการทำธุรกิจหรือธุรกรรมกับผู้ใช้งานในไทย เช่น ใช้ภาษาไทยหรือบัญชีธนาคารไทย ที่แอบมาเปิดหรือให้บริกาในไทย หากไม่ขออนุญาตจะมีโทษตามกฎหมาย โดย ก.ล.ต. จะเป็นหน่วยงานกำกับดูแล และตรวจสอบ หากพบว่าผิดกฎหมาย จะเสนอกลับมาให้อำนาจกระทรวงดีอีเป็นผู้มีอำนาจปิดกั้นการเข้าถึงแพลตฟอร์มดังกล่าวทันที

นอกจากนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือ พ.ร.ก.ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ฉบับที่ 2 นั้น ได้มีการกำหนดมาตรการการมีส่วนร่วมรับผิดชอบของธนาคาร ผู้ให้บริการมือถือ และแพลตฟอร์มดิจิทัลสื่อสังคมออนไลน์ หวังทำให้ผู้ให้บริการมีความเข้มงวดในการกำหนดมาตรการป้องกัน หวังช่วยลดสร้างความเสียหายให้กับประชาชน
ในเรื่องนี้ ทาง “วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ” ปลัดกระทรวงดีอี บอกว่า “เนื้อหากฎหมายเป็นการระบุอย่างกว้าง ในส่วนที่ต้องร่วมรับผิดชอบ โดยต้องมีมาตรการควบคุม หากไม่ดำเนินการในมาตรฐานที่ควรเป็น ปล่อยละเลยจนเกิดความเสียหายจะต้องร่วมรับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยต้องมีการสร้างมาตรฐานขึ้นมาว่าจะต้องทำอะไรบ้าง หากไม่ทำก็ต้องร่วมรับผิด เช่น ปล่อยให้มีบัญชีม้า ปล่อยให้มีซิมม้า หรือโซเชียลมีเดียปล่อยให้มีการโฆษณาหลอกลวง เป็นต้น เรื่องเหล่านี้ผู้กำกับดูแลต้องกำหนดมาตรฐานในการดูแลขึ้นมา ซึ่งหากผู้ให้บริการและผู้เสียหายตกลงกันไม่ได้ ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการให้หน่วยงานกำกับดูแล และศาล เป็นผู้สั่งชดใช้”
นอกจากนี้ยังให้ศูนย์ AOC 1441 ร่วมกับเจ้าหน้าที่มีอำนาจในการอายัดบัญชีได้ตามกฎหมาย ส่วนการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลมีการเพิ่มโทษเป็นจำคุก 5 ปี จากเดิม 1 ปี ส่วนการคืนเงินผู้เสียหายที่สามารถพิสูจน์เส้นเงินได้จะเร็วขึ้นอยู่ในขั้นตอน ปปง.
ขณะเดียวกันเรื่องการมีส่วนร่วมรับผิดชอบนั้น ก็ยังต้องรอความชัดเจนของในส่วนสถาบันการเงิน เมื่อทางหน่วยงานกำกับดูแล คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยทาง “รุ่ง มัลลิกะมาส” รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน บอกว่า ที่ผ่านมา ธปท. สนับสนุนหลักการของ พ.ร.ก. ข้างต้น และได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเสนอความเห็นและปรับปรุงเนื้อหาใน พ.ร.ก. เพื่อยกระดับมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำหรับในส่วนของประเด็นสำคัญของ พ.ร.ก. นี้ คือ การกำหนดกลไกให้ผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้อง เช่น สถาบันการเงิน ผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงิน ผู้ให้บริการโทรคมนาคม (telco) ผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์ (social platform) และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ต้องยกระดับการดูแลลูกค้า และร่วมชดเชยความเสียหายหากละเลยการปฏิบัติตามมาตรฐานที่หน่วยงานกำกับดูแลกำหนด นั้น
“ธปท. อยู่ระหว่างจัดทำประกาศเพื่อกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบที่ชัดเจนของสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงิน โดยประกาศจะครอบคลุมทั้งการป้องกันการสวมรอยทำธุรกรรมแทนผู้ใช้บริการ การจัดการบัญชีม้า และกระบวนการรับแจ้งเหตุที่รวดเร็ว คาดว่าประกาศดังกล่าวจะออกใช้ภายในสิ้นเดือน เม.ย.นี้”
ขณะที่ พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัลฉบับที่ 2 ที่ได้แก้ไข นั้น ได้ให้อำนาจกับทาง ก.ล.ต. จะเป็นหน่วยงานกำกับดูแล แพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลเถื่อน ที่ไม่ได้รับใบอนุญาตนั้น

ทาง “เอนก อยู่ยืน” รองเลขาธิการ และโฆษก ก.ล.ต. บอกว่า ก.ล.ต. พร้อมเดินหน้าประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยกระดับปิดกั้นแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลต่างประเทศที่มีพฤติกรรมการชักชวนหรือโฆษณาการให้บริการ (solicit) กับผู้ลงทุนในประเทศไทย กระบวนการปิดกั้นทำได้รวดเร็วมากขึ้น โดยหลังจากกฎหมายทั้ง 2 ฉบับมีผลใช้บังคับแล้วจะทำให้การปิดกั้นช่องทางการเข้าถึงแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่เข้าข่ายเป็นการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาต มีกระบวนการที่กระชับ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับเจ้าของบัญชีม้าสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีสินทรัพย์ดิจิทัลในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถือเป็นการเดินเกมรุกครั้งใหญ่ของรัฐบาล และหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องในการยกระดับการแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ ที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนคนไทยในทุกวัน คงต้องจับตาดูว่า หลัง กฎหมาย 2 ฉบับ มีผลบังคับใช้แล้วปัญหาการหลอกลวง ต้มตุ๋น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ จะลดลงหรือไม่!!
จิราวัฒน์ จารุพันธ์