ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ประชาชน เริ่มมีการตั้งคำถามว่า สรุปว่า ค่าไฟงวดใหม่ที่จะเริ่มในเดือน พ.ค.-ส.ค. 68 ซึ่งอีกไม่กี่วันจะสิ้นเดือน เม.ย. ยังไม่มีการประกาศราคาค่าไฟงวดใหม่ตามกรอบที่รัฐบาลประกาศไว้ หน่วยละ 3.99 บาทออกมา จากปัจจุบันที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ซึ่งมีหน้าที่ดูแลค่าไฟฟ้า ได้ประกาศราคาค่าไฟงวดใหม่ไว้ก่อนหน้านี้อยู่ที่หน่วยละ 4.15 บาท เท่ากับงวดปัจจุบัน จึงทำให้ประชาชนสับสนว่า สรุปค่าไฟงวดใหม่ จะต้องจ่ายเท่าไรกันแน่ แม้ที่ผ่านมา กกพ. จะเคยประกาศราคาค่าไฟฟ้าใหม่เลยบิลค่าไฟเดือนที่จะลดราคาแล้วมาหักส่วนต่างกับบิลค่าไฟเดือนถัดไปก็ตาม แต่ประชาชนก็ยังต้องการให้ประกาศราคาค่าไฟใหม่ตามกรอบรัฐบาล ให้ทันเวลาตามบิลเดือน พ.ค. อยู่ดี     

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ผลการหารือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะสามารถปรับลดค่าไฟงวด พ.ค-ส.ค. 68 จากที่ กกพ. ประกาศไปแล้วก่อนหน้านี้ที่หน่วยละ 4.15 บาท เหลือหน่วยละ 3.99 บาท และจะปรับลดลงให้ต่ำกว่าหน่วยละ 3.99 บาท ในช่วงที่เหลือของปี 68  ซึ่งจะต้องรอให้ กกพ. ประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้ง  และระหว่างนี้กำลังหารือร่วมกับ นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อทบทวนร่างแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (พีดีพี) ให้ กฟผ. ยังคงเป็นหน่วยงานหลักในการผลิตไฟฟ้าของประเทศได้มากขึ้นและมีความแข็งแกร่ง และขณะนี้ตนกำลังอยู่ระหว่างการแก้ไขกฎหมายที่มองว่า กฎหมายพลังงานมีการวางระบบที่ผิดพลาด จึงมีนโยบายจะสังคายนากฎหมาย และนายกรัฐมนตรีให้การสนับสนุน

“ค่าไฟประเทศไทยไม่ได้แพงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน แต่เนื่องจากไทยไม่ได้ใช้ถ่านหินที่เป็นเชื้อเพลิงต้นทุนต่ำที่สุดในการผลิตไฟฟ้า จากเหตุผลที่ต้องการใช้เชื้อเพลิงที่มีการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนต่ำที่สุด ทำให้ค่าไฟอาจสูงกว่าบางประเทศที่ใช้ถ่านหินผลิตไฟฟ้า และการรับซื้อไฟฟ้าในโครงการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน จำนวน 5,200 เมกะวัตต์ ไม่ได้เป็นเหตุให้ไฟแพง และเป็นโครงการที่เกิดเมื่อปี 65 และมีการลงนามไปบางส่วนแล้ว ส่วนที่เหลือไม่สามารถระงับการลงนามสัญญาที่ยังคงเหลืออีก 16 สัญญา เพราะการลงนามสัญญาไม่เกี่ยวกับรัฐมนตรี เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ กกพ. กำหนด การเลื่อน ชะลอ เป็นอำนาจของ กกพ. ไม่มีอำนาจใดๆ ที่อยู่ที่ตัวรัฐมนตรี” 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าล่าสุดของประเทศไทยในปี 67 ณ วันที่เกิดกำลังไฟฟ้าสูงสุด (พีค) ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (ไอพีพี) 18,973.50 เมกะวัตต์ สัดส่วน 37.41% การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 16,261.02 เมกะวัตต์ สัดส่วน 32.06% ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (เอสพีพี) 9,254.68 เมกะวัตต์ สัดส่วน 18.25% ผู้ผลิตไฟฟ้าต่างประเทศ (นำเข้าและแลกเปลี่ยน) 6,234.90 เมกะวัตต์ สัดส่วน 12.29% รวม 50,724.1 เมกะวัตต์ ซึ่งสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าเปลี่ยนไปอย่างมาก จากเดิมการผลิตไฟฟ้าปี 43 กฟผ. มีสัดส่วนอยู่ที่ 77% 

สัดส่วนการผลิตดังกล่าว เริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่ กฟผ. ประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (ไอพีพี) เป็นครั้งแรกเริ่มตั้งแต่ปี 37 หลังจากประกาศรับซื้อจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (เอสพีพี) ในปี 35 เนื่องจากรัฐบาลขณะนั้นมองว่า การลงทุนโรงไฟฟ้า ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก จึงต้องการให้เอกชนมาลงทุนแทน จนล่าสุดภาคเอกชนผลิตไฟฟ้าพุ่งมาถึงสัดส่วน 55.66% ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดแล้ว ส่วน กฟผ. เหลือเพียงสัดส่วน 32.06% ขณะที่ทุกคนที่ต้องแก้ปัญหาค่าไฟแพง กฟผ. จะเป็นผู้แบกรับภาระแทนประชาชนไปก่อนทุกครั้ง