จากกรณี คณะทำงานแก้ไขปัญหาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรบริเวณพื้นที่ชายแดน จ.ระนอง-ชุมพร โดย ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้นำสำนวนการสืบสวนและบันทึกถ้อยคำพยาน เข้าร้องทุกข์กับ ป.ป.ช. และปปป. กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางให้ดำเนินคดีกับข้าราชการและผู้เกี่ยวข้อง ที่เข้าไปมีส่วนช่วยเหลือสนับสนุนให้กลุ่มคนไทย เข้าไปบุกรุกพื้นที่ของประเทศเพื่อนบ้านเพื่อปลูกปาล์มน้ำมันและยางพารา แล้วนำกลับเข้ามาขายในประเทศไทย จนสร้างความเสียหายให้กับระบบเศรษฐกิจไทย และยังพบมีการซ่องสุมกำลัง รวมถึงมีการตั้งค่ายพักคอยแรงงานโรฮิงญา ประชิดชายแดนไทย เพื่อรอเวลาเคลื่อนย้ายแรงงาน ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น

ผู้ตรวจการฯ ร่วม กอ.รมน.ภาค 4 โร่แจ้ง ปปป.-ปปง. เอาผิด ‘ขบวนการขายชาติ’

ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 25 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศแนวตะเข็บชายแดนในพื้นที่ ต.รับร่อ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร หลังมีการเสนอข่าวความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับราษฎรไทยการลักลอบเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อปลูกพืชผลทางการเกษตร นำเข้ามาขายในประเทศไทยผ่านทางช่องทางธรรมชาติ โดยก่อนหน้านี้ พล.ท.อนุสรณ์ โออุไร แม่ทัพน้อยที่ 4/รอง ผอ.รมน.ภาค4 ได้เดินทางไปตรวจพื้นที่ และพบว่ามีการก่อสร้างถนนเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้าน จึงได้สั่งการให้การปิดกั้นแนวตะแขบชายแดน ในพื้นที่บ้านช่องหินหมู ช่องบ้านสองหลัง ช่องหนองผักบุ้ง ช่องหินควน และช่องตามิ้น พร้อมทั้งได้มีการนำเครื่องจักรไปขุดทำลายถนน ติดตั้งลวดหนามและแท่งคอนกรีต เพื่อป้องกันไม่ใช้ใช้ยานพาหนะสัญจร และกำชับให้หน่วยทหารในพื้นที่ตั้งจุดตรวจุดสกัดรวมถึงลาดตระเวณเส้นทางเพื่อป้องกันการลักลอบขนพืชผลอาสินทางการเกษตรเข้ามายังประเทศไทย

ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ตรวจสอบที่ช่องหินหมู ซึ่งเป็นเส้นทางข้าสู่หมู่บ้านอินทนินงาม พบว่าพื้นที่ดังกล่าวยังคงมีลวดหนามและแท่งปูนปิดกันถนนไม่ให้รถสัญจรไปมาได้ แต่ก็ยังมีประชาชนเดินเท้าเข้าออกมาซื้อสินค้าตามปกติ รวมถึงยังมีการนำสินค้าทางการเกษตร คือ ปาล์มน้ำมัน และยางพารา ออกมาขายแต่เปลี่ยนไปใช้ช่องทางอื่นแทน

หนึ่งในชาวบ้านในหมู่บ้านอินทนิลงาม ที่ไม่ประสงค์ออกนาม กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ชาวบ้านในหมู่บ้านยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ยังไม่มีใครถูกจับกุม พวกเรายังใช้ชีวิตตามปกติ และเข้ามาซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่ร้านค้า รวมถึงการนำพืชผลทางการเกษตรเข้ามาขายในประเทศไทย ซึ่งก็มีผู้ดูแลดำเนินการให้เช่นเดิม

อย่างไรก็ตามผู้สื่อข่าว ได้รับเปิดเผยจากแหล่งข่าวคณะทำงานแก้ไขปัญหาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรบริเวณพื้นที่ชายแดน จ.ระนอง-ชุมพร ว่า ชาวบ้านที่เข้าไปบุกรุกยึดพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำม้น และยางพารา ในเขตประเทศเมียนมา เป็นชาวบ้านกลุ่มเดิมในหมู่บ้านอินทนิลขวาง ที่เข้าไปครอบรองพื้นที่ปลูกยางพารา โดยการชักนำของนายหน้าชาวไทยชาว จ.ระนอง และถูกจับกุมกวาดล้างโดยรัฐบาลพม่า เมื่อปี 2555 ต่อมากลุ่มกะเหรี่ยง KNU ได้เข้ายึดพื้นที่คืน และปัจจุบันอยู่ในการดูแลของกองกำลังกะเหรี่ยง KTLA

ภายหลังการยึดพื้นที่กลับมาจากรัฐบาลมียนมา ก็เกิดการแตกแยกและมีกลุ่มผู้กองกระทิง ตั้งเป็นกองกำลังกะเหรี่ยง KTLA เข้าดูแลพื้นที่ โดยมีนายสมาน ชาวไทยทางภาคเหนืออ้างตัวเป็นนายพลทหารกะเหรี่ยง และมีความใกล้ชิดกับนายพลทหารของไทย คอยให้การช่วยเหลือ และนำไปสู่การชักชวนคนไทยเข้าไปทำเกษตรกรรม ด้วยการจัดสรรพื้นที่ออกเป็นแปลงๆ ขนาดแปลงละ 25 ไร่ ขายในราคาขั้นต่ำแปลงละ 100,000 บาท โดยมีการแบ่งผลประโยชน์กันระหว่างนายหน้าชาวไทย ข้าราชการหน่วยงานกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กับ กองกำลังทหาระเหรี่ยง ล่าสุดพบว่ามีคนไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาว จ.สุราษฎร์ธานี กว่า 170 รายเข้าไปเป็นสมาชิกใช้ชื่อว่า หมู่บ้านอิทนนิลงาม

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวระดับสูงคนดังกล่าวได้มอบหลักฐาน ซึ่งเป็นคลิปเสียงสนทนา ของผู้หญิง 2 ราย รายแรกเรียกแทนตัวเองว่า แม่สี ชี้แจงรายละเอียดการขายยางพารา ที่แม่สี ระบุเป็นผู้ดูแลกับลูกบ้านในหมู่บ้านอินทนิลงาม โดยแจ้งยอดการขายยางพารา 3 ครั้ง เป็นจำนวนเงิน 7 หมื่นบาทเศษ และหักค่าใช้จ่าย กก.ละ 3.50 บาท แจ้งรายละเอียดว่า เป็นค่าดำเนินการขนส่ง 50 สตางค์ จ่ายทหาร 1 บาท จ่าย ตชด. 1 บาท และ แม่สี 1 บาท.