จากกรณี คณะทำงานแก้ไขปัญหาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรบริเวณพื้นที่ชายแดน จ.ระนอง-ชุมพร โดย ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้นำสำนวนการสืบสวนและบันทึกถ้อยคำพยาน เข้าร้องทุกข์กับ ป.ป.ช. และปปป. กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางให้ดำเนินคดีกับข้าราชการและผู้เกี่ยวข้อง ที่เข้าไปมีส่วนช่วยเหลือสนับสนุนให้กลุ่มคนไทย เข้าไปบุกรุกพื้นที่ของประเทศเพื่อนบ้านเพื่อปลูกปาล์มน้ำมันและยางพารา แล้วนำกลับเข้ามาขายในประเทศไทย จนสร้างความเสียหายให้กับระบบเศรษฐกิจไทย และยังพบมีการซ่องสุมกำลัง รวมถึงมีการตั้งค่ายพักคอยแรงงานโรฮิงญา ประชิดชายแดนไทย เพื่อรอเวลาเคลื่อนย้ายแรงงาน ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าผู้สื่อข่าวรายงานวันที่ 26 เม.ย. นายพิศิษฐ์ ฤทธิพิชัยสงคราม นายอำเภอท่าแซะ จ.ชุมพร เปิดเผยว่า กรณีได้ปรากฏข่าวสารที่คณะทำงานร่วมระหว่างผู้ตรวจการแผ่นดิน กับ กอ.รมน.ภาค 4 เข้าดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี่มีคนไทยร่วมกับชาวกะเหรี่ยง บุกรุกพื้นที่ป่าของประเทศเมียนมา เพื่อปลูกพืชอาสินทางการเกษตรแล้วลักลอบนำกลับเข้ามาขายในประเทศไทยทางช่องทางธรรมชาติในเขตพื้นที่ ต.รับร่อ อ.ท่าแซะ โดยคณะทำงานได้นำหลักฐานเข้าแจ้งความกับ ปปป.-ปปช.เพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดนั้น เบื้องต้นเชื่อว่ามีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง ส่วนใครจะมีสวนเกี่ยวข้องในการกระทำผิดนั้นตนไม่มีความเห็น ให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายกฏหมาย แต่ในส่วนของความรับผิดชอบในฐานะที่ตนเป็นนายอำเภอ ก็ได้บูรณาการกำลัง ชุด ชรบ.กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ร่วมกับฝ่ายตำรวจและทหาร จัดชุดลาดตระเวณตามช่องทางธรรมชาติทุกเส้นทาง และห้ามมิให้ใช้เส้นทางโดยเด็ดขาด ซึ่งก่อนหน้านี้ ตนก็ได้มีนโยบายสั่งการไปยังพื้นที่แนวชายแดนในการกวดขัน จับกุมการกระทำที่ผิดกฏหมายในเขตพื้นที่ภายในราชอาณาจักรไทย โดยตลอด แต่การทำงานยังไม่พบผู้กระทำผิดดังกล่าว มีเพียงการจับกุมยาเสพติดเล็กน้อยเท่านั้น
นายอำเภอท่าแซะ กล่าวยอมรับว่า บริเวณพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่อยู่ไกลหูไกลตายากแก่การควบคุมดูแลได้อย่างทั่วถึงประกอบกับพื้นที่ที่ถูกบุกรุกเป็นเหตุที่เกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้าน จึงไม่ใช้อำนาจเขตรับผิดชอบ ส่วนกรณีด้านความมั่นคงก็มีหน่วยทหาร ตำรวจตระเวณชายแดน มีฐานที่ตั้งกองกำลังคอยปฎิบัติการสอดส่องอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ต่อข้อถามที่ว่า ล่าสุดได้มีการเผยแพร่คลิปเสียงการสนทนาของบุคคล ฝ่ายหนึ่งแทนตัวเองว่า กำนัน ส่วนคู่สนทนา ถูกระบุว่าเป็น ผู้ใหญ่บ้าน โดยสาระของคลิปเสียงดังกล่าวมีการโต้เถียงกันเกี่ยวกับการนำรถแบ็คโฮลล์ เข้าไปปรับพื้นที่ในพื้นที่ที่เกิดเหตุ โดยผู้ที่กล่าวอ้างว่าเป็นกำนัน ระบุว่า ตนเองเป็นผู้จัดการเคลียร์เส้นทางการนำรถแบ็คโฮลล์ข้ามไปประเทศเพื่อนบ้าน และมีการจ่ายเงินให้กับนายอำเภอเดือนละ 10000 บาท นั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า ตนยังไม่ทราบรายละเอียด และยังไม่ขอให้ข้อมูลอะไร ขอให้เป็นไปตามกระบวนการของกฏหมาย ซึ่งก็ต้องไปพิสูจณ์กันต่อไป แต่อยากบอกว่า การพูดจาลักษณะดังกล่าวเป็นการเข้าข่ายหมิ่นประมาทหรือไม่
อย่างไรก็ตามในการบันทึกปากคำพยานของคณะทำงานพบว่า บุคคลที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการนำเครื่องจักรเข้าไปก่อสร้างถนนและปรับพื้นที่ในฝั่งประเทศพม่า ประกอบไปด้วย บุคคลที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ร่วมกับราษฎร ที่เป็นนายหน้า โดยบุคคลที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นผู้อำนวยความสะดวกให้กับราษฎร โดยมีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากเจ้าของเครื่องจักร อ้างว่านำไปมอบให้กับผู้บังคับบัญชาโดยตรง รวมถึงหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เช่น ตำรวจตระเวณชายแดน ทหาร ป่าไม้ ที่มีฐานปฎิบัติและพื้นที่รับผิดชอบในเขตแนวตะเข็บชายแดนประเทศไทย ให้อำนวยความสะดวกเข้าไปในพื้นที่และบุกเบิกก่อสร้างถนน โดยภาพถ่ายดาวเทียมจาก GISTDA พบว่ามีการบุกเบิกพื้นที่ป่าตรงไปยังพื้นที่บุกรุก และที่ตั้งของจุดเพิงพักคอยของชาวโรฮิงญา เมื่อช่วงปลายปี 2566 และมีเส้นทางผ่านฐานที่ตั้งของหน่วยงานด้านความมั่นคง ซึ่งการบันทึกปากคำพยานสอดคล้องกับความเป็นไปได้ ว่า การตัดถนนเพื่ออำนวยความสะดวกในการขนย้ายพืชผลทางการเกษตร ยางพารา และปาล์มน้ำมัน รวมถึงใช้เป็นเส้นทางเพื่อเคลื่อนย้ายชาวโรฮิงญาออกจากเพิงที่พักเข้ามายังประเทศไทยเพื่อผ่านไปยังประเทศที่ 3 ซึ่งการกระทำเหล่านี้ของกลุ่มขบวนการ เข้าข่ายความผิดฐานร่วมกันลักลอบเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตอันป็นการละเมิดอธิปไตยป็นภยความมั่นคง , ลักลอบค้ามนุษย์ มีการสะสมกำลังพลหรืออาวุธสงคราม จัดหาหรือรวบรวมทรัพย์สิน กระทำการใดๆเพื่อให้เกิดเหตุร้ายแก่ประเทศจากภายนอก และการเข้าไปในพื้นที่ของประเทศเพื่อนบ้านเพื่อยึดถือครอบครองที่ดินอันเป็นการรุกล้ำทางเศรษฐกิจ เป็นการเข้าไปใช้ หรือทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนดินแดนของประเทศเพื่อนบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นการแสวงหาผลประโยชน์โดยไม่คำนึงถึงกฏหมายระหว่างประเทศ และเป็นการรุกล้ำาทงสิ่งแวดล้อม การทำลายป่าไม้ และมีการนำพาขคนต่างด้าวไปยังประเทศที่ 3 ความผิดตาม พรบ.เข้าเมือง 2522 และ พรบ.ป้องกันการค้ามนุษย์