เมื่อเวลา 15.45 น. วันที่ 30 เม.ย. ที่ ห้องประชุม กคร. หรือกองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (กองคดีฮั้วประมูล) ศูนย์ราชการฯ อาคารเอ ชั้น 7 ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายศุภภางกูร พิชิตกุล รอง ผอ.กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ได้รับมอบหมายจาก พ.ต.ท.อมร หงษ์ศรีทอง ผอ.กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวถึงความคืบหน้าการสอบสวนปากคำพยานวิศวกร ภายใต้กิจการร่วมค้า PKW และความคืบหน้าคดีนอมินี บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ว่า ภายหลังจากที่คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ออกหมายเรียกพยาน จำนวน 40 วิศวกรภายใต้กิจการร่วมค้า PKW (ประกอบด้วย บริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จำกัด บริษัท ว. และสหายคอลซัลแตนตส์ จำกัด และบริษัท เคพี คอนชัลแทนส์ จำกัด) เข้าให้ปากคำนั้น ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 29 เม.ย. โดยสอบสวนปากคำวันละ 10 ราย ปรากฏว่าในส่วนของการสอบสวนปากคำวันนี้ ได้นัดหมายวิศวกร 10 ราย พบว่ามาให้การครบทุกราย โดยมี 7 รายที่เป็นวิศวกรของบริษัท ว.และสหายคอลซัลแตนตส์ จำกัด ให้การปฏิเสธว่าลายเซ็นที่ปรากฏในเอกสารรายงานประจำสัปดาห์การควบคุมงานไม่ใช่ลายเซ็นของตนเอง ตนเป็นเพียงวิศวกรทำงานด้านระบบ และไม่เคยเข้าไซต์งานก่อสร้าง สตง. ไม่เคยไปควบคุมงานตามวันที่เเละเวลาที่ปรากฏในเอกสาร ซึ่งก็อยู่ในขั้นตอนสอบสวนว่าชื่อและลายเซ็นไปปรากฏในเอกสารวิศวกรควบคุมงานได้อย่างไร ขณะที่ 3 วิศวกรได้ยอมรับว่าเป็นลายเซ็นของตนเองจริง เพราะมีการไปคุมงานจริง โดยเจ้าหน้าที่มีการสุ่มตรวจพบความถี่ จำนวน 2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม การอ้างว่าไม่ใช่ลายเซ็นของตนนั้น ก็ต้องตรวจสอบว่ามีการปลอมลายเซ็นอย่างไรหรือไม่ โดยจะส่งตรวจพิสูจน์ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้ คนที่มีหน้าที่คุมงานก็ดำเนินการตามขั้นตอนปกติ หากมีความผิดปกติในการก่อสร้าง ก็ต้องดำเนินการรายงานตามขั้นตอนของบริษัทควบคุมงาน ซึ่งมันก็มีบ้าง
นายศุภภางกูร เผยอีกว่า หน้าที่ของวิศวกรผู้ควบคุมงาน ก่อนจะลงลายมือเซ็นชื่อนั้น แต่ละรายจะมีหน้าที่ไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างกรณีหากเป็นวิศวกรจากบริษัท ว. และสหายคอลซัลแตนตส์ จำกัด ก็จะดำเนินการเรื่องงานระบบ ส่วนบริษัท เคพี คอนชัลแทนส์ จำกัด จะรับผิดชอบเรื่องงานโครงสร้าง แต่ในส่วนของวิศวกรที่มีลายเซ็นของตัวเองในเอกสารและยอมรับว่าเป็นลายเซ็นตัวเองนั้น ก็ยอมรับว่ามีการตรวจงานจริง และหากพบความผิดปกติในการก่อสร้าง วิศวกรผู้ควบคุมงานก็ต้องทำรายงานประจำวันรายงานไปยังผู้ควบคุมงานตามลำดับชั้น คือ นายสมชาย (สงวนนามสกุล) ซึ่งเป็นผู้จัดการโครงการ ดังนั้น หากผู้จัดการโครงการพบเห็นกรณีที่มันมีการกระทบในโครงสร้าง ก็ต้องรายงานไปยัง สตง. มันเป็นขั้นตอนตามระบบการทำงานปกติ ส่วนว่าบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด รับทราบหรือไม่ว่ามันมีการแก้ไขแบบนั้น อย่างที่ตนเรียนว่าหากมันมีการแก้ไขเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ต้องดูว่าเกี่ยวกับโครงสร้างหรือไม่ หากเกี่ยวข้องกับโครงสร้างมันก็จะยาวไปถึงผู้ออกแบบ ซึ่งก็ต้องรายงานตามขั้นตอนไปถึงบริษัทผู้ออกแบบ รวมถึง สตง. ด้วย
“สำหรับกระบวนการตรวจพิสูจน์เรื่องลายเซ็นจะเป็นขั้นตอนของนิติวิทยาศาสตร์ โดยจะมีการใช้ลายเซ็นที่เป็นปัญหา แล้วก็การให้วิศวกรเซ็นลายเซ็นตัวอย่างต่อหน้าพนักงานสอบสวนโดยปกปิดลายเซ็นปัญหาไว้ก่อน จากนั้นเราจะใช้ลายเซ็นที่อยู่ในช่วงระยะเวลาที่มีการอ้างว่าถูกปลอมลายเซ็น ไปตรวจเทียบ ซึ่งตรงนี้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ จะเป็นผู้พิจารณา ส่วนคำถามว่าหากมีการอ้างว่าตนไม่ได้เซ็น แต่มีการดัดแปลงลายเซ็นตัวเองให้ไม่เหมือนกับลายเซ็นที่เซ็นไป จะตรวจสอบอย่างไรนั้น ขั้นตอนนี้นิติวิทยาศาสตร์มีหลักเกณฑ์ในการขอชื่อ และลายมือเจ้าปัญหา และรวบรวมจากในช่วงเวลาที่เกิดเหตุมากที่สุด แล้วจึงส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญของนิติวิทยาศาสตร์” รอง ผอ.กองคดีฮั้ว ระบุ

นายศุภภางกูร เผยอีกว่า สำหรับลายเซ็นของบรรดาวิศวกรผู้ควบคุมงานเหล่านี้ที่ดีเอสไอตรวจพบในเอกสารล้วนเกิดขึ้นในปี 2563 ซึ่งปรากฏอยู่ในเอกสารรายงายประจำสัปดาห์ เพื่อเป็นเอกสารประกอบการเบิกเงินกับ สตง. ซึ่งเอกสารที่เราได้สุ่มตรวจนั้น พบว่าลายเซ็นของวิศวกรภายในเอกสารแต่ละฉบับค่อนข้างมีความคล้ายกัน แตกต่างกันบ้าง แต่เป็นปกติของการเซ็นชื่ออีกแล้ว แต่การเปรียบเทียบ เรามุ่งเน้นไปที่เจ้าของลายเซ็นมากกว่าว่ามันตรงกับที่ปรากฏในเอกสารหรือไม่ อย่างไร
นายศุภภางกูร ระบุว่า สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ เมื่อมีการตรวจสอบการเซ็นชื่อของวิศวกร ก็ส่งตรวจพิสูจน์กับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อเอาข้อมูลมาพิจารณาว่าเป็นของเขาจริงหรือไม่ ซึ่งต้องพิจารณาควบคู่กับการจ้างควบคุมงาน โดยถ้าหากพบว่าวิศวกรรายใดถูกปลอมลายเซ็นชื่อจริง ๆ ก็จะเป็นความผิดที่ต้องดำเนินคดีโดยพนักงานสอบสวนท้องที่ และก็เป็นความผิดในคดีพิเศษของดีเอสไอได้ เพราะทราบว่าก่อนหน้านี้ได้มีวิศวกรบางส่วนไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษกับ สน.ในท้องที่ กรณีที่ถูกปลอมลายเซ็นไว้บ้างแล้ว
นายศุภภางกูร เผยต่อว่า การก่อสร้างจะต้องมีการรายงานตั้งแต่ผู้รับเหมาก่อสร้าง ก็คือ บริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ และบริษัท อิตาเลียนไทยฯ เพราะเขาคือผู้ดำเนินการก่อสร้าง เขาต้องพบว่ามีปัญหาในการก่อสร้างตามแบบหรือไม่ และก็ต้องรายงานผ่านบริษัทผู้ควบคุมงาน (กิจการร่วมค้า PKW)
นายศุภภางกูร ระบุถึงบริษัทผู้ออกแบบตึก สตง. คือ บริษัท ฟอ-รัม อาร์คิเทค และบริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด ว่า ตอนนี้เราสอบสวนปากคำพยานบริษัท ไมนฮาร์ทฯ ไปแล้ว ซึ่งรับผิดชอบด้านวิศวกรรม ส่วนบริษัท ฟอ-รัมฯ รับผิดชอบเกี่ยวกับงานสถาปัตยกรรม อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่ทั้งคู่เป็นกิจการร่วมค้า ในความรับผิดชอบของกิจการร่วมค้า ดีเอสไอก็ต้องเชิญบริษัท ฟอ-รัมฯ มาให้การเช่นเดียวกัน ส่วนกรณีว่าทั้งสองบริษัทมีอำนาจในการแก้ไขแบบนั้น โดยหลักตามกฎหมาย พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ต้องขออนุญาตจากบริษัทผู้ออกแบบ แต่ตอนนี้มันอยู่ในขั้นตอนการสอบสวนอยู่ว่ามีการดำเนินการตามหลักการหรือไม่
เมื่อถามถึงกรณีที่นายธีระ วรรธนะทรัพย์ กรรมการของบริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด ได้ยอมรับว่ามีการแก้ไขแบบแปลน ลดขนาดความหนาปล่องลิฟต์เพื่อให้ขนาดทางเดินมีความกว้างขึ้นนั้น นายศุภภางกูร กล่าวว่า กรณีดังกล่าวที่มีการแก้ไขผนังปล่องลิฟต์ ลดขนาดจาก 0.30 ซม. เป็น 0.25 ซม. กรณีนี้เป็นไปตามข้อตกลงของการร่วมทำงาน (Consortium) ระหว่างบริษัท ฟอ-รัมฯ และบริษัท ไมนฮาร์ทฯ ซึ่งเขาให้การว่ามีการแนะนำ วิธีการแก้ไขแบบ ถ้าลดลงมาต้องมีการเสริมเหล็ก แต่คนที่ดูด้านวิศวกรรม และให้ข้อมูลคำนวณในบริษัทร่วมค้าของทั้งสองแห่ง คือ บริษัท ไมนฮาร์ทฯ ดังนั้น การคำนวณมาจากบริษัท ไมนฮาร์ทฯ แต่การเสนอแก้ไขอย่างไรก็ต้องออกมาในนามของข้อตกลงของการร่วมทำงาน (Consortium) เพื่อให้ทั้งสองแห่งมีความเห็นสอดคล้องกัน
เมื่อถามต่อว่าหากการแก้ไขแบบดังกล่าว เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ตึก สตง.ถล่ม การพิจารณาความผิดในส่วนของบริษัทสัญญาผู้ออกแบบ (บริษัท ไมนฮาร์ทฯ และบริษัท ฟอ-รัมฯ) จะต้องรับผิดชอบร่วมกันหรือไม่นั้น นายศุภภางกูร กล่าวว่า ส่วนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน ต้องขอสอบสวนรวบรวมข้อมูลก่อน แต่เบื้องต้นทุกบริษัทและทุกคนที่เข้าให้การพยานค่อนข้างให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
นายศุภภางกูร กล่าวถึงกรณีที่นายเกรียงศักดิ์ กอวัฒนา รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท อิตาเลียนไทยฯ เข้าให้ปากคำพยานดีเอสไอวานนี้ (29 เม.ย.) ประเด็นสัญญาการก่อสร้างตึก สตง. ว่า เขาให้การว่าบริษัท อิตาเลียนไทยฯ เป็นกิจการร่วมค้ากับบริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ โดยในขั้นตอนก่อสร้าง บริษัท อิตาเลียนไทยฯ คือผู้รับเหมา และก่อสร้างตามแบบ ซึ่งถ้ามีปัญหาอะไรก็ต้องรายงานไปยังผู้ควบคุมงาน (กิจการร่วมค้า PKW) และการจะก่อสร้างได้ก็ต้องทำตามขั้นตอน และมีการอนุมัติ ซึ่งบทบาทหน้าที่ของบริษัทรับผู้เหมา ถ้ามีการก่อสร้างก็ต้องก่อสร้างตามแบบ ส่วนเหตุใดบริษัท อิตาเลียนไทยฯ จึงไว้วางใจบริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ เพราะอาจเคยมีการประมูลงานโครงการของรัฐโครงการอื่นมาก่อนเจอกันในงาน สตง. หรือไม่นั้น ทางอิตาเลียนไทยฯ ให้การว่า เคยมีการทำธุรกิจร่วมกันมาก่อน เกี่ยวกับการก่อสร้าง ซึ่งความสัมพันธ์ของทั้งสองบริษัท พบว่ามีความเกี่ยวข้องกันมาก่อนปี 2563 อาจมีการเคยประกอบธุรกิจร่วมกันมาก่อน และตอนนี้เรามุ่งเน้นไปที่โครงการตึก สตง. แต่ก็ขยายไปยังการออกแบบ การจ้างควบคุมงาน ส่วนการมาเป็นกิจการร่วมค้ากันก็มีการแบ่งสัดส่วนการลงทุน 51% (อิตาเลียนไทยฯ) ต่อ 49% (ไชน่า เรลเวย์ฯ) ทั้งนี้ กรณีที่บริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ ถูกดำเนินคดีนอมินี จับกุมผู้ต้องหา 4 ราย (3 นอมินีไทย และนายชวนหลิง จาง) จะทำให้บริษัท อิตาเลียนไทยฯ มีฟีดแบ็คอย่างไรนั้น คงต้องไปสอบถามทางอิตาเลียนไทยฯ
นายศุภภางกูร กล่าวด้วยว่า สำหรับพรุ่งนี้ (1 พ.ค.) เรายังคงนัดหมายสอบปากคำพยานกับวิศวกร ภายใต้กิจการร่วมค้า PKW ต่ออีก 10 ราย ส่วนกรณีที่วิศวกรรายอื่นในล็อตแรก ยังไม่ประสานเข้าพบพนักงานสอบสวนนั้น ตนมั่นใจว่าท่านจะมาให้การ เพราะมันเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเอง หากลายเซ็นถูกปลอมก็ควรมาแสดงข้อเท็จจริง เพราะมันจะไม่ใช่การควบคุมงานจริง ๆ ทั้งนี้ จากหมายเรียกพยานวิศวกรทั้งหมด 40 ราย ปัจจุบันเข้าพบดีเอสไอแล้ว 17 ราย (ตัวเลข ณ วันที่ 30 เม.ย.)
นายศุภภางกูร กล่าวต่อว่า สำหรับความผิดตามกฎหมายฮั้วประมูลนั้น จากการสอบสวนปากคำจนถึงวันนี้ เรามีการตั้งประเด็นเกี่ยวกับความผิดตาม พ.ร.บ.ความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ โดยต้องตรวจสอบทุกโครงการ แต่ตอนนี้เรารวบรวมพยานหลักฐานเพื่อตรวจสอบทุกมาตรา มิใช่เพียงมาตรา 7 มาตรา 8 เน้นย้ำที่การกีดกันการเสนอราคาโดยไม่เป็นธรรม เพราะตอนนี้ สตง. ได้ส่งเอกสารเกี่ยวกับโครงการแล้ว ซึ่งหลังจากนี้เราจะมีการเรียกบริษัทที่ได้มีการเสนอราคาในโครงการจ้างก่อสร้างตึก สตง. โดยนัดหมายประมาณกลางเดือน พ.ค.นี้ จำนวน 6 บริษัท มาให้ปากคำในฐานพยาน ชี้แจงประเด็นเป็นบริษัทผู้ร่วมประมูลงานโครงการ (E-Bidding) โครงการก่อสร้างตึก สตง.