ท่ามกลางบริบทการทำงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยการแข่งขันในปัจจุบัน ปัจจัยขับเคลื่อนความสำเร็จขององค์กรไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงกับทักษะเฉพาะด้านหรือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอีกต่อไป หากแต่ ‘บุคลากร’ และ ‘สุขภาวะของบุคลากร’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่มุมของ ‘Mental Well-being’ หรือ ‘สุขภาพจิตที่ดี’ ได้กลายเป็นรากฐานสำคัญที่องค์กรไม่อาจมองข้ามได้ สุขภาพจิตของพนักงานไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับประสิทธิภาพการทำงานและความยั่งยืนขององค์กรโดยรวม

ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) ระบุว่า ภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวลเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทั่วโลกสูญเสียประสิทธิภาพในการทำงาน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ตัวเลขดังกล่าวยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า ความเครียดและภาวะหมดไฟในการทำงานไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัวของพนักงาน แต่เป็นปัญหาที่องค์กรจำเป็นต้องให้ความสำคัญและจัดการอย่างจริงจัง ในยุคสมัยที่การทำงานเต็มไปด้วยอีเมลจำนวนมหาศาล การประชุมที่ต่อเนื่องตลอดทั้งวัน และความคาดหวังที่สูงขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน เหล่านี้ทำให้คนวัยทำงานจำนวนมากกำลังแบกรับภาระเกินขีดจำกัดโดยไม่รู้ตัว

‘ภาวะหมดไฟ’ (Burnout) ไม่ได้เป็นเพียงความเหนื่อยล้าทั่วไป แต่คือภาวะที่พนักงานรู้สึกหมดแรงทางอารมณ์  เบื่อหน่าย ไม่รู้สึกมีส่วนร่วมกับงานหรือเป้าหมายขององค์กรอีกต่อไป ตลอดจนการมองว่าตนเองนั้นไม่มีประสิทธิภาพ รายงานจาก ‘แกลลัป’ (Gallup) บริษัทวิจัยระดับโลกที่เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์พฤติกรรม เผยว่า พนักงานที่ประสบภาวะหมดไฟมีแนวโน้มที่จะลาป่วยมากกว่าพนักงานทั่วไปถึง 63% และมีอัตราการลาออกสูงขึ้นถึง 2.6 เท่า ซึ่งในระยะยาว ย่อมส่งผลกระทบต่อความต่อเนื่องในการดำเนินงานและความสามารถในการรักษาบุคลากรที่มีคุณภาพขององค์กร

ด้วยเหตุนี้ องค์กรจึงจำเป็นต้องลองปรับเปลี่ยนแนวคิดจากการให้ความสำคัญเฉพาะผลลัพธ์ในการทำงาน มาเป็นการสร้างสรรค์วัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมสุขภาวะทางจิตใจของพนักงานอย่างจริงจัง  ไม่ว่าจะเป็นการลดภาระงานที่ไม่จำเป็น การเปิดโอกาสให้พนักงานได้มีเวลาพักผ่อนอย่างแท้จริง การสนับสนุนรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น ไปจนถึงการจัดให้มีโครงการช่วยเหลือพนักงาน (Employee Assistance Program หรือ EAP) ที่ให้การสนับสนุนด้านจิตวิทยาอย่างเป็นระบบ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ บริษัทชั้นนำอย่าง Google และ Salesforce ที่มีนโยบายสนับสนุนวันหยุดเพื่อการฟื้นฟูจิตใจ (mental health days) และจัดสรรพื้นที่ภายในองค์กรสำหรับกิจกรรมผ่อนคลายความเครียดและการฝึกสมาธิ

อย่างไรก็ตาม การดูแลสุขภาพจิตไม่ใช่หน้าที่ขององค์กรเพียงฝ่ายเดียว พนักงานเองก็มีบทบาทสำคัญในการดูแลตนเองเช่นกัน การฝึก Mindfulness หรือการเจริญสติเป็นแนวทางที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่ามีส่วนช่วยในการลดความเครียดและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน สอดคล้องกับงานวิจัยจาก Harvard Business Review ที่ชี้ให้เห็นว่า การใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีต่อวันในการฝึกสมาธิ สามารถลดระดับความวิตกกังวลและเสริมสร้างสมาธิในการทำงานได้ และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นอาจฝึกควบคู่ไปกับการนำเทคนิคการจัดการเวลา การกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว และการรู้จักปฏิเสธเมื่อรู้สึกว่าเกินกำลัง มาปรับใช้

สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การสร้างบรรยากาศที่เปิดกว้างให้พนักงานสามารถพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นสุขภาพจิตในที่ทำงานได้อย่างอิสระโดยไม่รู้สึกผิดหรือกังวลว่าจะถูกตีตรา เพราะความเงียบคืออุปสรรคสำคัญที่ทำให้หลายคนเลือกที่จะเก็บซ่อนความรู้สึกไว้จนเกินจุดที่จะรับมือไหว กล่าวคือ องค์กรควรเริ่มจากการส่งเสริมบทสนทนาเกี่ยวกับสุขภาพจิตให้กลายเป็นเรื่องปกติ ผ่านการอบรมผู้นำทีมให้มีความเข้าใจในภาวะเหล่านี้ การสนับสนุนให้ทีมทรัพยากรบุคคลมีทักษะในการสังเกตสัญญาณของความเหนื่อยล้า และการสร้างนโยบายที่ยืดหยุ่นและตอบสนองต่อความต้องการด้านสุขภาพจิตของพนักงานแต่ละบุคคล

พึงระลึกไว้เสมอว่า สุขภาพจิตที่ดีไม่ใช่แค่ ‘ผลพลอยได้’ จากการมีสมดุลในชีวิตการทำงาน แต่เป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้พนักงานสามารถเติบโต เรียนรู้ และสร้างคุณค่าให้กับองค์กรได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจมีความเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม องค์กรที่ตระหนักว่าความสุขของพนักงานคือพลังขับเคลื่อนที่แท้จริง จะเป็นองค์กรที่มีความพร้อมในการก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและมีความหมาย