ยิ่งในยุคที่การเข้าถึงศาลไม่ใช่เรื่องน่ากลัวและยุ่งยากอีกต่อไป เพราะมี “แผนกคดีซื้อขายออนไลน์ในศาลแพ่ง” เรื่องนี้ นายเผ่าพันธ์ ชอบน้ำตาล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ให้ข้อมูล “ทีมข่าวอาชญากรรม” ถึงกระบวนการในแผนกว่าทั้งหมดทำผ่านระบบออนไลน์ได้โดยผู้ฟ้องทุกขั้นตอน จนถึงรับคำพิพากษา ไม่ต้องเดินทางมาศาลแม้แต่ครั้งเดียว และไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่การช่วยเหลือ “ผู้บริโภค” คือ ต้องเป็นผู้ที่ซื้อเพื่อบริโภคส่วนบุคคล ไม่ใช่นำไปขายต่อ หรือใช้ในกิจการทางธุรกิจ เช่น ซื้อเสื้อผ้า 10 โหลเพื่อขายต่อ ไม่ถือเป็นผู้บริโภค ไม่เข้าเกณฑ์แผนกนี้

อีกทั้งข้อพิพาทต้องเกิดจากกระบวนการซื้อขายผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หากตกลงนอกระบบ เช่น ขอไปดูสินค้าก่อนตัดสินใจ ทดลองใช้ ทดลองขับ หรือทำสัญญาโดยตรงนอกร้านค้าออนไลน์จะไม่อยู่ในขอบเขตแผนก

หากเป็นการนัดรับสินค้า โดยไม่ขอตรวจสอบหรือเจรจานอกระบบออนไลน์ เช่น นัดรับของตามสถานีรถไฟฟ้า โดยตกลงซื้อขายและโอนเงินเรียบร้อยผ่านแชต หรือเว็บไซต์แล้ว ยังถือว่าเข้าข่าย เช่นเดียวกับกรณีเก็บเงินปลายทาง เพียงแต่การตามหาตัวจำเลยจะยาก เพราะเงินส่งผ่านหลายทอด

พร้อมแนะผู้ซื้อควรชำระผ่านบัญชีธนาคารที่มีชื่อเจ้าของชัดเจน การชำระเงินผ่านบางช่องทางยังไม่สามารถตรวจสอบไปถึงเจ้าของได้ อย่าง อี-วอลเล็ต หรือพร้อมเพย์  ที่สำคัญต้องขอ หรือหาอีเมลผู้ขายให้ได้  และแม้หาไม่ได้แต่การชำระผ่านบัญชีธนาคารยังมีหนทางให้ศาลใช้ช่องทางเรียกข้อมูลและส่งหมายเรียกถึงตัวจำเลยได้จริง

อีกหนึ่งมาตรการ “ทรงพลัง” ของแผนก คือ “การอายัดชั่วคราว” เงินในบัญชีเฉพาะเท่าจํานวนที่โอนไป ยกตัวอย่าง หากซื้อมือถือแล้วโอนเงินไป 10,000 บาท แผนกสามารถพิจารณาว่ามีเหตุสมควรออกคำสั่ง “อายัดเงิน” ในบัญชีผู้ขายได้เท่ากับจำนวนเงินที่โอนชำระไป เพื่อใช้เป็นหลักประกันการบังคับคดีภายหลัง นับเป็นกลไกสำคัญช่วยให้มีโอกาสรับเงินคืน พร้อม “กระตุ้น” ให้ผู้ขายเข้าสู่กระบวนการเจรจา หรือแก้ข้อกล่าวหา หากไม่มาศาลสามารถสืบพยานฝ่ายเดียวและพิพากษาได้ทันที  มาตรการนี้เริ่มใช้ครั้งแรกวันที่ 24 มิ.ย.67 

“แผนกไม่จำกัดจำนวนมูลค่าความเสียหายในการฟ้องร้อง เคยมีคดีจากในระบบ เป็นคดีซื้อขายผ้าขนหนูในราคาโปรโมชั่นไม่ถึง 10 บาท ก็เคยถูกยื่นฟ้องแล้ว แม้สุดท้ายคดีจะยุติ เพราะโจทก์ไม่มาศาลก็ตาม  และเคยพบคดีที่ความเสียหายมากสุดคือ 1.2 ล้านบาท จากกรณีสั่งกล่องสุ่มสินค้าแบรนด์เนม”

สำหรับสถิติตั้งแต่เปิดทำการเดือน ม.ค. 65 คดีที่เข้าสู่กระบวนการพิจารณาส่วนใหญ่ 70-80% เป็นคดี “ไม่ได้รับสินค้า” รูปแบบคือ ผู้ขายรับเงินแล้วไม่จัดส่ง “บล็อก” ช่องทางติดต่อ จนหมดหนทางติดตาม ที่เหลืออีก 20-30% เป็นคดีสินค้าไม่ตรงปก ชำรุด หรือ มีตำหนิ  ก็ถือเป็นการผิดสัญญาเช่นกัน

ตั้งแต่เดือน ม.ค.65- เม.ย.68 มีเรื่องเข้าระบบ 16,500 เรื่อง แต่ศาลมีคำพิพากษาได้เพียง 3,600 คดี สาเหตุหลักเกิดจาก “การขาดหายของโจทก์” หรือ ผู้ฟ้อง ที่มีมากถึง 8,000–9,000 คดี ต้องถูก “จำหน่าย” ออกจากสารบบ การไม่มาออนไลน์ตามนัดของศาล ซึ่งตามกฎหมายถือว่าไม่แสดงตนเพื่อดำเนินคดี ทำให้ศาลไม่สามารถเดินหน้าต่อ การขาดการติดต่อมีหลายสาเหตุ เช่น ผู้ฟ้องได้รับเงินชดใช้ค่าเสียหายแล้ว ไม่ติดใจเอาความ, ลืมวันนัด  หรือฟ้องในตอนโกรธ ภายหลังไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคดีอีก

ส่วนการ “ถอนฟ้อง” มีประมาณ 3,000 คดี สาเหตุหลักเพราะผู้ฟ้องได้รับชดใช้ค่าเสียหายแล้ว หรือไม่สามารถหาตัวจำเลยได้ ขณะคดีที่ “ประนีประนอมยอมความ” เช่น การทำสัญญาให้จำเลยผ่อนชำระ หรือคืนเงินมีประมาณ 160 คดี ถือว่าน้อย ตัวอย่างที่ได้รับความสนใจในสังคม คือ กรณี “ยำแหนม 170 บาท” ที่แม้เป็นคดีเล็ก ๆ แต่ก็เข้าสู่กระบวนการประนีประนอมในศาล

นอกจากนี้ มีอีกประมาณ 700 เรื่อง ที่ศาลไม่รับฟ้อง หรือต้องยกฟ้อง ในสาเหตุ เช่น คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณา อาทิ  ผู้ขายเป็นฝ่ายฟ้อง หรือเป็นการซื้อเพื่อธุรกิจ ซื้อจากเว็บไซด์ต่างประเทศ คดีเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา หรือกรณีพยานหลักฐานไม่ชัดเจน ไม่สามารถพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้

นายเผ่าพันธ์ ย้ำถึงการอำนวยความยุติธรรมที่สะดวก รวดเร็ว และประหยัด ในทุกขั้นตอนเพียงกรอกแพลตฟอร์มออนไลน์ง่ายๆ หากไม่เข้าใจสามารถสอบถามเจ้าพนักงานคดีได้โดยตรง เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบคำฟ้องก่อนส่งศาล เพื่อช่วยให้คำฟ้องสมบูรณ์

“ให้เปรียบแผนกคดีซื้อขายออนไลน์ในศาลแพ่ง เหมือนการใช้ทางด่วนพิเศษในวันหยุดนักขัตฤกษ์ ที่จะไปยังจุดมุ่งหมายปลายทางได้โดยสะดวกและไม่เสียค่าธรรมเนียม คือ การฟ้องรองรับตามสิทธิ เพื่อได้รับเงินคืน  แต่ถ้าใครไม่พร้อมหรือไม่อยากเข้าช่องทางด่วนพิเศษนี้  หรือต้องการมาศาล ก็สามารถใช้สิทธิฟ้องเป็นคดีผู้บริโภคที่ศาลได้ตามปกติ” นายเผ่าพันธ์ระบุ.

ทีมข่าวอาชญากรรม รายงาน