รอบหลายเดือนที่ผ่านมา “พรรคร่วมรัฐบาล ” ถูกมองว่าเป็นศัตรูกับ“พรรคเพื่อไทย” หลังเข้ามาขวางหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ฯลฯ
แต่สุดท้ายเป็นแค่เกมการเมืองที่ตบจูบ เจรจาต่อรองกันไปเรื่อยๆ กอดคอร่วมรัฐบาลกันต่อไป เพราะไม่มีใครอยากเลือกตั้งในตอนนี้
หากจะพูดว่าศัตรูที่แท้จริงของ “ตระกูลชินวัตร” และ “พรรคเพื่อไทย” นาทีนี้คงไม่ใช่พรรคร่วมฯแต่เป็นศัตรูเก่า ผสมฝ่ายค้าน และฝ่ายแค้นที่ใช้กระบวนการ “นิติสงคราม” ไล่ล่า
เริ่มตั้งแต่ “แพทองธาร ชินวัตร” ได้รับการแต่งตั้งเป็น “นายกฯ” ก็ถูกนักร้องจากบ้านป่ารอยต่อ สังกัด “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ตรวจสอบอย่างละเอียดยิบ ทั้งเรื่องบัญชีทรัพย์สิน ที่ดินอัลไพน์ รวมถึงการปล่อยให้ “พ่อ” ครอบงำรัฐบาล
ว่ากันว่า “นายกฯอิ๊งค์” เปรียบเหมือนถูกนำคอขึ้นพาดเขียง ที่รอจังหวะสุกงอม ให้องค์กรอิสระ ที่เชื่อว่ามีสายสัมพันธ์กับอำนาจเก่ารุมสับ
ขณะเดียวกันเกมไล่ล่าด้วยนิติสงครามอื่นๆ ก็ค่อยๆวางระเบิดเวลาต่อไป ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านนำโดย “พรรคประชาชน” (ปชน.)
ใช้ยุทธศาสตร์โรยเกลือหลังศึกซักฟอก ตรวจสอบปมโอนหุ้น โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือตั๋ว PN ที่ซื้อหุ้นจากคนในครอบครัวและเครือญาติ มูลค่า 4,434 ล้านบาท ว่าเข้าข่ายนิติกรรมอำพรางหรือไม่ ซึ่งจะฟ้อง ป.ป.ช.ต่อไป
รวมถึงเรื่องที่ตั้งของโรงแรม “เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่” ที่รุกล้ำที่ดินสงวนไว้เพื่อการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ หรือเป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธารห้ามออกโฉนดเด็ดขาด และได้มีการยื่นหนังสือกับอธิบดีกรมที่ดินเพื่อเพิกถอนโฉนด พร้อมติดตามความคืบหน้า เพื่อหาช่องใช้กฎหมายจัดการ
แต่ที่น่ากังวลที่สุด คงเป็นเรื่องศัตรูเก่าของ “ทักษิณ” ที่จะใช้นิติสงครามแบบเอาเป็นเอาตาย หลัง “ชาญชัย อิสระเสนารักษ์” อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ จับมือ “สมชาย แสวงการ” อดีตวุฒิสภา “เจษฎ์ โทณะวณิก”อดีตที่ปรึกษากมธ.รัฐธรรมนูญปี 60 และ “นิติธร ล้ำเหลือ” นักเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.
ให้ตรวจสอบ ครม.ชุด “เศรษฐา ทวีสิน” อดีตนายกฯ และ “แพทองธาร” รวมถึง สส.และสว. กระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ใช้งบผิดประเภท
โดยตัดงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 จำนวน 35,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินกู้และเอาไปเพิ่มในงบกลางใช้ในโครงการแจกเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งหากผิดจริงอาจเป็นการรีเซ็ต หรือล้างไพ่ ครม.รวมถึงสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด หวังผลให้เกิด “สุญญากาศทางการเมือง”
แต่สิ่งที่ช็อค “ระบอบชินวัตร” มากไปกว่านั้น คือ กรณี “ชาญชัย” เจ้าเดิม ยื่นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้ไต่สวน “กรมราชทัณฑ์” ส่ง “ทักษิณ” ออกจากเรือนจำไปรักษาตัวที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ผิดขั้นตอนกฎหมายหรือไม่

แม้ในวันที่ 30 เม.ย. ศาลจะยกคำร้อง แต่ศาลเลือกที่จะไต่สวนเอง โดยเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องส่งหลักฐานมาให้ศาลภายใน 30 วัน ขณะเดียวกันศาลยังมีคำสั่งนัดพร้อม หรือไต่สวนในวันที่ 13 มิ.ย.นี้
นิติสงครามหลังสุดนี้ ฝ่ายศัตรู “ทักษิณ” ประเมินว่าต้องมีคนติดคุก ขณะเดียวกันหากสถานการณ์เลวร้ายที่สุดยังเชื่อว่า ผู้กำกับการแสดงหรือรัฐพันลึกอย่างอำนาจแฝงเหนือรัฐบาล ต้องการล้มดีล และให้ระบอบ “ชินวัตร” พ้นจากอำนาจ เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจทั้งที่เป็นจุดแข็งของเพื่อไทยได้
แถมยังสร้างความเสียหาย ความขัดแย้งให้กับประเทศเพิ่มขึ้นรวดเร็ว เช่น ทำลายกระบวนการยุติธรรมจนย่อยยับ หรือผลักดันกาสิโน ที่ทำให้บรรดาขาประจำออกมาคัดค้านอย่างสุดตัว หรือกับประเทศต่างชาติ กรณีอุยกูร์ หรือจับนักวิชาการชาวอเมริกันด้วยคดี 112
ขณะที่ฝ่ายสนับสนุน “ทักษิณ” มองในแง่บวก หากนายใหญ่ไม่ผิด จะเคลียร์ทุกข้อกล่าวหาในสังคมสงสัยว่าไม่ได้ป่วยทิพย์ และส่งผลให้รัฐบาลลูกสาวตีปีกขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ เช่น แก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ แจกเงินหมื่นเฟสต่อๆไป และกาสิโน แบบไร้ความกังวล
พร้อมเดินหน้าการเมืองชิงความได้เปรียบเต็มที่ อาทิ ปรับ ครม.จะเอาใครเข้าหรือออก รวมถึง รุกไล่ทางการเมืองฝั่งตรงข้าม เช่น คดีฮั้วสว. เป็นต้น ฉะนั้น 13 มิ.ย.นี้คงได้เห็นเค้าลางว่านิติสงครามจะปิดสวิตช์ “ระบอบชินวัตร” หรือตัดจบทุกข้อครหาให้ “นายใหญ่” กลับมาผงาดแบบทะลุซอยได้เต็มที่