เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 6 พ.ค. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล  น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน “เดือนแห่งสุขภาพใจ Mind Month” จัดโดยกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) องค์การอนามัยโลก (WHO) และภาคีเครือข่าย พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการ “สุขภาพใจเป็นเรื่องของทุกคน” และร่วมเสวนา “สุขภาพใจ เริ่มต้นได้ที่ครอบครัว” ร่วมกับตัวแทนครอบครัวในสายอาชีพต่างๆ กว่า 20 ครอบครัว 

โดย น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่รัฐบาลประกาศให้เดือนพฤษภาคมของทุกปี เป็นเดือนแห่งสุขภาพใจเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของช่วงเวลาแห่งความเข้าอกเข้าใจ ใจ  ซึ่งทั้ง 6 มาตรการที่ สธ.ร่วมกับภาคีเครือข่าย นำเสนอในครั้งนี้จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน และทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพจิตมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาสุขภาพจิต ตั้งเป้าให้เกิดขึ้นภายในเดือน พ.ค. 37 แห่ง และภายในสิ้นปี 370 แห่ง ถือเป็นหนึ่งในแนวทางการสร้างกลไกให้ประชาชนตระหนักในการดูแลสุขภาพใจของตนเอง เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญที่รัฐบาลประกาศไว้ต่อรัฐสภา ปัญหาสุขภาพทางใจเป็นปัญหาสำคัญที่ถูกมองข้าม ซึ่งตนให้ความสำคัญ เพราะแม้เรามีร่างกายสมบูรณ์ แต่หากสุขภาพใจไม่แข็งแรง การทำเรื่องต่างๆ ให้สำเร็จก็เป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะการเปิดใจรับฟังโดยไม่รีบตัดสินหรือให้คำปรึกษา ถือเป็นการเสริมความเข้าใจปัญหาและสร้างความเข้มแข็ง โดยเฉพาะต้องทำความเข้าใจด้วยว่า เมื่อเราประสบปัญหาทางใจ การเข้าพบแพทย์รับคำปรึกษาไม่ใช่เรื่องผิดหรือแปลก แต่เป็นการที่เราเริ่มรู้ตัวว่าจะดูแลตนเองอย่างไร

นายกฯ กล่าวต่อว่า อย่างที่ทราบกันดิฉันมีลูกเล็กอยู่ 2 คน อยากสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับเขาอย่างน้อยเราเป็นแม่ ไม่ว่าจะเป็นแม่มานานแค่ไหน หรือเพิ่งตั้งท้อง สิ่งสำคัญคือเราต้องให้เวลาและให้การรับฟังลูกของเรา  ดิฉันเองงานยุ่งอาจจะไม่ได้มีเวลามาก เมื่อมีเวลาก็พยายามรับฟังเขาให้มาก และคอยพยายามสอนเขาในเรื่องที่เวลาเขาอยากจะเล่าอะไรให้เราฟัง ดิฉันก็ตั้งใจฟังว่าเด็กต้องการสื่ออะไร เขามีเรื่องอะไรในใจเป็นสิ่งที่สำคัญ ไม่ต้องเป็นเด็กก็ได้ เราเองเป็นผู้ใหญ่ทุกวันนี้ว่าเรามีปัญหา ถ้ามีคนรับฟัง และพร้อมที่จะเข้าใจเราทำให้รู้สึกว่ามีคนรับฟัง  แน่นอนต่อไปในอนาคตเรื่องของสุขภาพกาย และสุขภาพใจต้องทำคู่กัน

“วันนี้เราต้องทำความเข้าใจกับประชาชนว่าเรื่องสุขภาพจิต สุขภาพใจ การเข้าพบแพทย์หรือการขอคำปรึกษาไม่ใช่เรื่องผิดหรือเรื่องแปลก ไม่ได้แปลว่าเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่มันแปลว่าเราเริ่มที่จะรู้ตัวว่าเราต้องดูแลตัวเองอย่างไร มันไม่ง่ายเหมือนอาหาร เรารู้กินอาหารไม่ครบ 5 หมู่ แต่บางทีเรื่องของจิตใจเราไม่ทราบว่าต้องดูแลอย่างไร ถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่เราสามารถทำให้เรื่องนี้ปกติมากขึ้น ให้เรามีทางออก เพราะในชีวิตแต่ละคนการตัดสินใจของแต่ละคนไม่ได้เหมือนกัน เจอเรื่องมาไม่เหมือนกัน แต่ว่าถ้าเรามีทางออกที่พึ่ง สามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ ฉะนั้นเรื่องของจิตใจ รัฐบาลสนับสนุนเรื่องนี้อย่างเต็มที่และผลักดันเรื่องนี้ให้เด็กๆ น้องๆ โตขึ้นไปยังแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ” นายกฯ กล่าว

ด้านนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า สำนักงานสภาการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดการณ์ว่า ปัจจุบันคนไทยกว่า 10 ล้านคน ต้องเผชิญกับปัญหาด้านสุขภาพจิต โดยเฉพาะโรคซึมเศร้า วิตกกังวล ภาวะเครียดสะสมรุนแรง และจิตเภท กว่า 2 ล้านคน เข้ารับการรักษาในระบบบริการสาธารณสุข ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุขจึงได้ร่วมกับภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ขับเคลื่อน 6 มาตรการสำคัญในปีนี้ ได้แก่  1. ส่งเสริมพัฒนาการและความฉลาดทางอารมณ์ของเด็กปฐมวัย ด้วยโปรแกรมกิจกรรมกลุ่มเชื่อมระหว่างโรงเรียน ผู้ปกครอง และเด็ก 2. พัฒนาระบบ HERO แพลตฟอร์มสุขภาพจิตในโรงเรียนให้ครูสามารถประเมินสุขภาพเด็กในเบื้องต้นได้ 3. ส่งเสริมการดำเนินการด้วยระบบ Holistic Health Advisor หลักสูตรดูแลสุขภาพจิตวัยทำงาน 4. จัดตั้งศูนย์ให้การปรึกษาสุขภาพจิต รองรับการดูแลผู้ต้องการความช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตทั้งแบบ On-Site และ Online 5. พัฒนาระบบต่อเติมใจ แพลตฟอร์มฝึกจิตบำบัดด้วยตนเอง และ 6. เปิดให้บริการแพลตฟอร์มสุขภาพจิตดอทคอม เป็นช่องทางหลักช่วยให้ประชาชนมีความรอบรู้สุขภาพจิตยิ่งขึ้น

ขณะที่ นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบัน พบว่า วัยทำงานอายุ 30–39 ปี มีความเสี่ยงเครียดและซึมเศร้ามากกว่า 20% ส่วนผู้สูงอายุ 60 ขึ้นไป มีความเสี่ยงเครียดและเสี่ยงซึมเศร้ามากกว่า 500,000 คน ซึ่งไม่เพียงกระทบคุณภาพชีวิต แต่ยังสร้างภาระทางสังคมและครอบครัว สสส. จึงได้ร่วมกับกรมสุขภาพจิต และองค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดตัวโครงการในเดือนแห่งสุขภาพใจ สร้างนวัตกรรมสุขภาพจิตเชิงป้องกันภายใต้ชื่อต่อ-เติม-ใจ ซึ่งเป็นโปรแกรมฝึกจิตบำบัดด้วยตนเองภายใน 5 สัปดาห์ ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลโดยการทำแบบประเมินควบคู่กับการดูแลโดยผู้ช่วยออนไลน์ หรือ e-Helper และเปิดโอกาสให้ครอบครัวมีบทบาทในการแนะนำและติดตามผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีความเครียดสูงเข้าใช้โปรแกรมเพื่อลดภาวะเครียดและซึมเศร้าเบื้องต้นก่อนเข้าสู่ระบบการรักษา และส่งต่อผู้ที่มีภาวะรุนแรงสู่หน่วยบริการได้รวดเร็วขึ้น โดยตั้งเป้าให้ประชาชนเข้าถึงระบบภายในปี 2568 อย่างน้อย 200,000 คน และขยายสู่ 1 ล้านคน ภายใน 3 ปี เพื่อยกระดับการป้องกันสุขภาพจิตระดับประเทศ หากสนใจทดลองใช้งานโปรแกรมสามารถเข้าไปได้ที่ www.ต่อเติมใจ.com

จากนั้น นายกฯ  ร่วมเสวนากับตัวแทนครอบครัวจากกลุ่มอาชีพต่างๆ โดยครอบครัวแรกเป็นอินฟลูเอนเซอร์คุณแม่ลูก 3 จากช่องติ๊กต็อก สอบถามนายกฯว่า เมื่อมีคนติดตามเยอะ มีความคาดหวังและแรงกดดันมาถึงลูกๆ จะดูแลลูกๆ อย่างไร โดยนายกฯ ตอบว่า เมื่อครอบครัวของเราเข้มแข็ง เด็กๆ ไม่ได้สนใจกระแสสังคม เมื่อครอบครัวเข้มแข็งทำให้ลูกๆ รู้สึกถึงความปลอดภัย มั่นคงและเราควรคาดหวังในสิ่งที่เขาทำได้ เช่น หากลูกอายุ 2 ขวบก็คาดหวังสิ่งที่เขาจะทำได้ตามช่วงวัย และเมื่อเราเป็นคนสาธารณะ คุณพ่อคุณแม่ต้องตั้งสติให้ชัด เป้าหมายที่เราวางไว้คืออะไร 

ขณะที่ครอบครัวคู่รัก LGBTQIA+ พาลูกมาด้วย ได้ถามนายกฯ ว่า ยังมีสังคมบางส่วนที่ไม่ยอมรับครอบครัวเรา นายกฯ จะให้คำแนะนำอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า ความรักทุกรูปแบบเป็นเรื่องที่ดี บางคนโตมากับพ่อแม่ บางคนโตมากับคุณลุงคุณป้า หากได้ความรักที่ดีทุกคนจะเข้มแข็งและเป็นคนที่ดีของสังคมได้ เพราะมนุษย์ต้องการความมั่นคง เมื่อทั้งสองรักกันก็จะทราบว่าความรักนั้นจริงหรือไม่ มีคุณค่ามีความหมายมากน้อยแค่ไหน อย่างตนเมื่อถึงวันหนึ่งหากลูกเลือกทางอะไรก็แล้วแต่ที่เขามีความสุข และเมื่อเจอปัญหาแล้วไม่จมกับเรื่องนั้น สามารถก้าวเดินต่อไปได้ ตนจะถือว่าเป็นเรื่องที่เก่งมาก