สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ว่า รัฐบาลสหรัฐของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศแผนจัดเก็บภาษีแผงโซลาร์เซลล์ที่ผลิตในกัมพูชา เวียดนาม ไทย และมาเลเซีย หลังพบการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมในประเทศเหล่านั้น โดยเฉพาะในบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ในจีน
ภาษีดังกล่าวซึ่งยังคงรอการอนุมัติ จะถูกเพิ่มเข้าไปพร้อมกับอัตราภาษีนำเข้าพื้นฐาน 10% และภาษี 145% สำหรับสินค้าจากจีน ซึ่งอาจสร้างผลกระทบที่รุนแรงต่อตลาดในสหรัฐ เนื่องจากจีนครองสัดส่วนการผลิตโซลาร์เซลล์ 8 ใน 10 ของโลก และควบคุม 80% ของกระบวนการการผลิต
ภาษีอัตราใหม่ที่ถูกเสนอมีตั้งแต่ประมาณ 40% สำหรับมาเลเซีย และสูงไปจนถึง 3,521% สำหรับผู้ผลิตบางรายจากกัมพูชา
ท่ามกลางวิกฤติการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ภาษีศุลกากรและสงครามการค้าอาจมีแนวโน้ม “เร่งการเปลี่ยนผ่าน” ด้านพลังงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Sky-high US tariffs on ASEAN solar exports reveal the mounting cost of close supply-chain links with China. Cambodia, Vietnam, and Malaysia are now caught between geopolitical giants—just as President Xi moves to tighten regional alliances. Read more: https://t.co/0aKc83WgfS pic.twitter.com/4f3SGCyAlO
— Economist Intelligence: EIU (@TheEIU) May 1, 2025
อาทิ จีนจะเพิ่มความพยายามในตลาดภูมิภาค และผลักดันนโยบายหรือการดำเนินการ เพื่อให้มีการนำพลังงานสีเขียวมาใช้อย่างรวดเร็วทั่วทั้งภูมิภาค ผ่านการผลักดันโดยผู้ส่งออก
เมื่อปีที่แล้ว นักวิเคราะห์เคยเตือนว่า ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้เคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิล “ช้าเกินไป” ซึ่งอาจทำให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พลาดโอกาสจากต้นทุนที่ลดลงของการผลิตพลังงานลมและแสงอาทิตย์
แม้จะถูกตัดขาดจากตลาดสหรัฐ ประเทศเหล่านี้ยังสามารถมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนผ่านพลังงานในท้องถิ่น เร่งการผลิตพลังงานสีเขียว และผลักดันตลาด ที่สามารถป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนภายนอก
อย่างไรก็ตาม การแทนที่ตลาดสหรัฐไม่ใช่เรื่องง่าย และความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับการปฏิวัติเทคโนโลยีสะอาดในประเทศ.
เครดิตภาพ : AFP