จากกรณีข่าวสาวตามหาญาติเพื่อช่วยเซ็นอนุมัติการรักษาแม่ที่ป่วยหนักในห้อง ICU หลังถูกวินิจฉัยว่าเป็นเนื้องอกในสมอง ขณะที่เคยตามหาพ่อเพื่อขอทุนการศึกษา แต่กลับถูกผลักไสไม่มีที่พึ่งในยามที่ชีวิตแม่กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายตามที่ได้เสนอข่าวไปก่อนหน้านี้
ล่าสุดวันที่ 12 พ.ค. 2568 ในรายการโหนกระแส EP : ชีวิตจริงหรือละคร? ลูกสาวตามหาพ่อ เจอเป็นตร.ใหญ่ แต่บล็อกเบอร์-ไลน์หนี โดยทางด้านพิธีกร “หนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย” ได้สัมภาษณ์น้องหนูดีซึ่งถูกพ่อที่เป็นนายตำรวจยศ พ.ต.อ. ปฏิเสธความสัมพันธ์ ทั้งที่เด็กมีความฝันอยากจะศึกษาต่อ
โดย คุณเพียว เจ้าของร้านนวด ได้มานั่งเล่าเรื่องราวของพนักงานในร้าน ชื่อคุณรุ่งเป็นแม่ของน้องหนูดี เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวต้องมาทำงานและดูแลลูก จึงตัดสินใจให้คุณรุ่งเอาน้องมาอยู่ด้วย และให้ย้ายเข้าทะเบียนบ้านของตน เพื่อให้น้องได้สิทธิเข้าเรียนในสถานศึกษาใกล้บ้าน ตนเองได้เลี้ยงดูน้องมาด้วยกันเหมือนเป็นเพื่อนของลูกตนเอง
ซึ่งน้องหนูดีเล่าว่า แม่ไม่เคยให้คำตอบว่าพ่อเป็นใครอยู่ที่ไหน ส่วนตัวไม่ได้ขาดความอบอุ่น ไม่เคยคิดถาม ส่วนคุณเพียวรับว่ารู้ชื่อจากใบสูติบัตรของน้องอยู่แล้ว แต่ไม่ได้สนใจหรืออยากจะไปค้นหา

ต่อมาคุณรุ่งล้มป่วยเริ่มทำงานลำบาก รายได้เดือนละเกือบ 20,000 บาทไม่พอ ปัจจุบันน้องหนูดีจบ ม.3 แต่ไม่สามารถนำใบวุฒิการศึกษามาสมัครเรียนต่อได้ เนื่องจากยังค้างชำระค่าเทอม ซึ่งขณะนั้นอยากไปติดต่อคุณพ่อเรื่องของการเรียนต่อ เพราะคุณแม่เริ่มไม่ไหว คุณรุ่งขอร้องให้คุณเพียวช่วยพาน้องไปหาคุณพ่อตามชื่อในสูติบัตรค้นหาใน Google และพบว่าพ่อเป็นนายตำรวจมียศ พ.ต.อ. มีตำแหน่งในองค์กร และมีภาพลักษณ์ที่ดีในหน้าที่
โดยทางคุณเพียวและน้องหนูดี ได้ไปยังหน่วยงานของคุณพ่อ ปรากฏว่าลูกน้องปฏิเสธไม่ให้พบ บอกว่าเดี๋ยวจะติดต่อกลับไปเอง น้องหนูดีได้พูดถึงความตั้งใจที่อยากเรียนต่อสายสามัญ เพราะมีความฝันอยากเป็นทนายความ แต่ด้วยตอนนี้เจอปัญหาหลายอย่าง คิดว่าเรียนสายอาชีวะอาจจะดีกว่าเพราะอย่างน้องก็สามารถเรียนและทำงานควบคู่ไปได้
อย่างไรก็ตามฝั่งคุณพ่อติดต่อผ่านรายการ ไม่สะดวกเข้าสายโฟนอิน แต่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ตอนเด็กเคยดูแล และพาไปให้น้องซึ่งเป็นแพทย์ช่วยเลี้ยงดูที่จังหวัดชลบุรี ตอนนั้นมีคุณรุ่งไปด้วย ขณะนั้นอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน กลับหอบลูกหนีอ้างจะไปทำงานที่ญี่ปุ่น คุณรุ่งทำสิ่งที่ตนรับไม่ได้ ตอนนั้นบล็อกการติดต่อกันทุกช่องทาง
พ.ต.อ. ยังตอบเหตุผลที่ลูกมาหา 2 ครั้ง แล้วให้กลับไป ซึ่งมองว่าเป็นสถานที่ราชการไม่ควรจะมาคุยเรื่องแบบนี้ในที่ทำงาน ส่วนเรื่องช่วยเหลือค่าเล่าเรียนก็กำลังจะช่วย แต่เงินเก็บหมดไปเกือบ 2 ล้านบาท เพราะเอาไปใช้รักษาตัวเพราะติดเชื้อในกระแสเลือด

นอกจากนี้ในช่วงหนึ่งของรายการทาง M-150 และ ดัชมิลล์ มอบเงินช่วยเหลือรายละ 20,000 บาท โดยหนุ่มยังเสนอให้น้องกลับไปตัดสินใจว่าจะเรียนอะไร เพราะถ้ายังอยากจะเป็นทนายความต้องกลับมาเรียนสายสามัญ แต่ถ้าอยากทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย จะเรียนสายอาชีพก็ได้ แต่ค่าเล่าเรียนจะเป็นผู้รับผิดชอบให้จนเรียนจบ อย่างไรก็ตามหนุ่มยังพูดทิ้งท้ายไว้ว่า ไม่ใช่ทุกเคสที่จะช่วยได้ แต่เคสนี้ได้ฟังเรื่องราวแล้วอยากจะช่วยเหลือเท่านั้นเอง…
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ : @โหนกระแส