สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 31 พ.ค. ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวระหว่างการปราศรัยที่โรงงานเหล็กขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ในเมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ว่าสหรัฐจะขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมที่เรียกเก็บจากทั่วโลก จากปัจจุบัน 25% เป็น 50% โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 4 มิ.ย. นี้


ขณะเดียวกัน ทรัมป์ประกาศการลงทุนเพิ่มเติม 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 460,180 ล้านบาท) ให้กับอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศ ผ่านการลงทุนร่วมระหว่างบริษัท ยูเอส สตีล กับ นิปปอน สตีล ของญี่ปุ่น แต่จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีการยืนยันหรือปฏิเสธจากบริษัททั้งสองแห่ง ว่าข้อตกลงที่ผู้นำสหรัฐพูดถึงนั้น “เป็นเรื่องจริงหรือไม่”


ทั้งนี้ ทรัมป์ให้เหตุผลของการเตรียมขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมเป็น 50% ว่าเพื่อ “ปกป้อง” อุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดของสหรัฐ


ปัจจุบัน สหรัฐเป็นประเทศที่ยังคงต้องนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมเป็นจำนวนมาก เพราะยังผลิตได้เองไม่มาก โดยส่วนใหญ่มาจากแคนาดา เม็กซิโก และบราซิล แต่หลายฝ่ายเชื่อว่า การกำหนดกำแพงภาษีครั้งนี้ พุ่งเป้าตรงไปที่จีน ซึ่งเป็นผู้ส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมรายใหญ่ที่สุดของโลก

อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง จีนไม่ส่งออกสินค้าดังกล่าวมายังอเมริกาโดยตรง ส่วนใหญ่ผ่านการแปรรูปในประเทศที่สาม ก่อนส่งออกสู่สหรัฐ.

เครดิตภาพ : AFP