สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. ว่านายสกอตต์ เบสเซนต์ รมว.กระทรวงการคลังสหรัฐ กล่าวในรายการ “เฟซ เดอะ เนชั่น” ของสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส ว่าแม้การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน “จะแทบไม่มีความคืบหน้า” นับตั้งแต่ทั้งสองประเทศบรรลุข้อตกลง “สงบศึก” ทางการต้า ระหว่างการประชุมร่วมกัน ที่เมืองเจนีวาของสวิตเซอร์แลนด์
ทั้งนี้ เบสเซนต์เชื่อมั่นว่า การสนทนาโดยตรงระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน จะช่วยให้สถานการณ์กลับมา “ลื่นไหล” อีกครั้ง หลังเพิ่งให้ความเห็นแบบเดียวกันไป เมื่อไม่นานมานี้ ว่าการผลักดันให้การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน “คืบหน้ามากกว่านี้” ต้องอาศัย “แรงกระตุ้น” จากทั้งทรัมป์และสี
We are not seeking to decouple from China, but we must take steps to de-risk.
— Treasury Secretary Scott Bessent (@SecScottBessent) June 1, 2025
Withholding essential products from global industrial supply chains is not the behavior of a reliable trading partner. pic.twitter.com/wq4HkaECRT
อย่างไรก็ตาม เบสเซนต์กล่าวว่า กระบวนการส่งออกสินค้าสำคัญบางรายการจากจีนมายังสหรัฐ “กลับล่าช้า” ทั้งที่ตกลงกันแล้วระหว่างการเจรจาที่เมืองเจนีวา หนึ่งในนั้นคือ การอนุมัติการส่งออกแร่ธาตุหายาก ซึ่งอาจเป็นความล่าช้าตามขั้นตอนของจีนเอง “หรืออาจเป็นเจตนา” แต่เบสเซนต์แสดงความหวังว่า ประเด็นนี้จะได้รับการคลี่คลาย ในการหารือระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศ
ทว่าทรัมป์กลับจุดชนวนความตึงเครียดขึ้นมาอีก ด้วยการกล่าวว่า จีนเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงสงบศึกทางการค้า ที่เป็นการลดภาษีให้สหรัฐ จาก 125% เหลือ 10% ส่วนสหรัฐลดภาษีให้จีนจาก 145% เหลือ 30% เป็นเวลา 90 วัน ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งจีนตอบโต้ว่า สหรัฐต่างหาก ที่เป็นฝ่ายไม่ปฏิบัติตาม และแสดงความไม่พอใจ ที่รัฐบาลวอชิงตันยังคงควบคุมการส่งออกชิป.
เครดิตภาพ : AFP