เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่สงบและปัญหาพื้นที่พิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณ ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ที่กำลังปะทุความรุนแรง จนอาจถึงขั้นการสู้รบ ทำให้หลายฝ่ายจับตามองถึงศักยภาพการป้องกันประเทศของไทย ซึ่งในวันนี้ เราจะพาไปทำความรู้จักกับขุมกำลังสำคัญของ กองทัพเรือไทย ที่มีความพร้อมสูงสุดในการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว

หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.) ถือเป็นหน่วยกำลังรบหลักที่สำคัญของกองทัพเรือ มีภารกิจหน้าที่ในการปกป้องและรักษาอธิปไตยของชาติ ทั้งทางทะเลและน่านฟ้า ปัจจุบัน พล.ร.ต.เอตม์ ยุวนางกูร ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (ผบ.สอ.รฝ.) โดยมีกำลังพลภายใต้การบังคับบัญชาถึง 42,000 นาย ซึ่งได้รับการฝึกฝนด้านการรบ ทั้งด้านยุทธวิธีและการใช้อาวุธมาเป็นอย่างดีเยี่ยม

สอ.รฝ. มีอาวุธประจำหน่วยที่สำคัญ ซึ่งมีความทันสมัยและทรงแสนยานุภาพในการทำลายล้าง ประกอบไปด้วย ปืนใหญ่กลางกระสุนวิถีราบ ขนาด 130 มิลลิเมตร, ปืนใหญ่รักษาฝั่งกระสุนวิถีโค้ง ขนาด 155 มิลลิเมตร และ ปืนต่อสู้อากาศยาน ขนาด 37 และ 40 มิลลิเมตร อาวุธเหล่านี้เป็นกำลังหลักในการป้องกันภัยทางอากาศและสนับสนุนการรบภาคพื้นดิน

นอกจากปืนใหญ่แล้ว ยังมี อาวุธยิงจรวดนำวิถีต่อสู้อากาศยานระยะใกล้ IGLA-S จำนวน 2 ระบบ ซึ่งเป็นแบบประทับบ่าและติดตั้งกับตัวรถแท่นคู่ มีระยะการยิง 1,800 เมตร อาวุธชนิดนี้ตรวจจับเป้าหมายด้วยการรับรังสีอินฟราเรดที่แพร่ออกมาจากแหล่งความร้อนของอากาศยาน เมื่ออาวุธทำการล็อกเป้า ตัวจรวดจะติดตามพุ่งเข้าทำลายเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ นับเป็นระบบป้องกันภัยทางอากาศระยะใกล้ที่มีประสิทธิภาพสูง

ที่สำคัญที่สุดคือ อาวุธที่เข้ามาประจำการใหม่ล่าสุด นั่นคือ อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศอัตตาจร FK-3 ซึ่งเป็นระบบระยะปานกลางแบบเคลื่อนที่ ผลิตจากสาธารณรัฐประชาชนจีน มีระยะการยิงแม่นยำไกล 5-100 กิโลเมตร ปัจจุบันมีประจำการในหน่วย 3 คัน แต่ละคันมี 4 ท่อยิง รวมทั้งหมด 12 ท่อยิง สามารถยิงขีปนาวุธต่อเนื่องพร้อมกันได้ถึง 12 นัด จึงถือเป็นเขี้ยวเล็บที่ทรงแสนยานุภาพสูงสุด ของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งในเวลานี้ พร้อมที่จะปกป้องน่านฟ้าและน่านน้ำไทยจากภัยคุกคามทุกรูปแบบ
