“พรรคเพื่อไทย” เปิดเกมรุก “พรรคภูมิใจไทย” ทั้งต่อหน้า และลับหลัง ในส่วนของฝ่ายบริหารเร่งเกม หักดิบทวงคืนกระทรวงมหาดไทยเพื่อหวังวางขุมกำลัง เตรียมความพร้อมไปสู่สงครามครั้งใหม่ในสนามเลือกตั้ง เดินตามแนวทางของ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร ที่ประกาศไว้
ปลุก “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดเกมร้อนงัด “สัตยาบันช็อคมิ้นต์” ตอนตั้งรัฐบาลสูตรพิสดาร ทุบโต๊ะคงข้อตกลงเดิม ไม่คืนกระทรวงมหาดไทย เป็นการโยนฟืนเข้ากองไฟทำการเมืองไฟลุก
ท่ามกลางศึกข้อพิพาทชายแดนไทย – กัมพูชา และปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของชาวไทยในเวลานี้ที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขก่อนเป็นอันดับแรก
แต่ตรงกันข้ามการเดินเกมของ “พ่อนายกฯ” ไม่เพียงเล่นงาน “พรรคภูมิใจไทย” เท่านั้น ยังไฟเขียวให้นายทุนป่วน “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ปล่อยข่าวยึดพรรค ยึดกระทรวง รายวันเช่นกัน โดยมั่นใจว่า ไม่มีใครกล้าหือถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล เพราะเชื่อว่า ไม่มีใครพร้อมเลือกตั้ง รวมถึงยังคิดว่าตัวเองมีไพ่ในมือ ผ่านกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไว้เล่นงาน “บรรดาบิ๊กสีน้ำเงิน” กรณีฮั้วเลือกตั้งสว. ได้
หลงลืมดีลลับในครั้งจัดตั้งรัฐบาล ที่ต้องการให้ “พรรคฝ่ายอนุรักษ์นิยม” และ “พรรคเพื่อไทย” ช่วยกันทำงาน ต่อต้านภัยความมั่นคงใหม่ และไม่ให้ “พรรคส้ม” มีอำนาจได้
เช่นเดียวกับ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ที่แม้มีดีเอ็นเอของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ แต่ได้หันหลังให้การเมือง จึงอ่อนกำลังลงส่อพรรคแตก ยากที่จะเดินหน้าไปต่อ จึงถูกนายทุน พยายามยึดพรรค เพื่อหวังควบคุมกิจการแบบเบ็ดเสร็จ และเขี่ยขั้วอำนาจเดิมให้พ้นทาง
ด้วยความเหิมเกริมของ “นายใหญ่” ที่ติดนิสัยเดิมมี 377 ที่นั่ง ยุค “พรรคไทยรักไทย” เมื่อปี 2548 คิดว่าจะทำอะไรตามอำเภอใจก็ได้ ทั้งที่สภาพปัจจุบัน “พรรคเพื่อไทย” มีเพียง 142 เสียง หารู้ไม่กำลังถูกกับระเบิดต่างๆที่ผู้มีอำนาจเดิมวางไว้ ค่อยๆออกมาสำแดงไล่เช็คบิล “ระบอบทักษิณ”
อย่างเช่น “เครือข่ายสีน้ำเงิน” ที่ถูกโยงเป็นตัวแทนอนุรักษ์นิยม ได้โต้กลับ “ฝ่ายสีแดง” ผ่านองค์กรอิสระ 3 แห่ง ได้แก่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. และ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้รับเรื่องไว้ตรวจสอบ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ หรือ กคพ.
รวมถึง “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม ในฐานะรองประธาน กคพ. หลังใช้อำนาจแทรกแซงการทำงานของ “กกต.” ในคดีฮั้วเลือกตั้ง
ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญ ได้รับฟ้อง “ภูมิธรรม” และ “พ.ต.อ. ทวี” เป็นที่เรียบร้อย พร้อมสั่งให้ “พ.ต.อ. ทวี” หยุดปฏิบัติหน้าที่ในส่วนที่กำกับดูแลดีเอสไอ
สอดคล้องกับตุลาการภิวัฒน์เดินหน้าจัดการ นอมินีของ “เครือข่ายสีแดง” หลัง “พรรคภูมิใจไทย” มองว่า “ณฐพร โตประยูร” อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจเงินแผ่นดิน รับงานดีเอสไอเพื่อยื่นยุบ “พรรคภูมิใจไทย” ต่อ “กกต.” และ “ศาลรัฐธรรมนูญ” รวมถึงยังสร้างความฮือฮา หลังปูด 2 ส. คือ “ส.นายพล” และ “ส.นายทุน” ที่อุ้ม “พรรคภูมิใจไทย” โดยมีอำนาจแฝงครอบงำองค์กรอิสระ และสามารถแทรกแซงคดีต่างๆได้
แต่สุดท้าย ไม่ทราบว่าเป็นเพราะปาก หรือจำนนต่อกรรมเก่า เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. ที่ผ่านมา “ณฐพร” ถูกอัยการสั่งฟ้องศาลอาญา และไม่ให้ประกันตัว เพราะเป็นคดีร้ายแรง เกรงว่าจะหลบหนี จึงจำใจต้องนอนคุกในวัย 72 ปี หลังถูกขุดอดีตว่าเป็น 1 ใน 14 ผู้ต้องหาคดีฟอกเงินสหกรณ์เครดิต ยูเนี่ยน คลองจั่น มูลค่า 400 กว่าล้านบาท
ในวันเดียวกัน “ณฐพร” ยังถูกศาลรัฐธรรมนูญปฏิเสธไม่รับอุทธรณ์ คำร้องสอย 138 สว. ปม ฮั้วสว. อีกด้วย เรียกได้ว่า วันนั้นทั้ง “ศาลอาญา” และ “ศาลรัฐธรรมนูญ” พร้อมใจทำลายความน่าเชื่อของตัวแทน “ฝ่ายสีแดง” อย่างย่อยยับ
นอกจากนี้ในส่วนของ ตัวละครหลักของ “ฝ่ายแดง” เช่นกัน ได้รับสัญญาณเชิงลบมาตลอด เช่น ศาลปกครองสูงสุด สั่งให้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ชดใช้ความเสียหายจากการระบายข้าวแบบจีทูจี กว่า 10,028 ล้านบาท โดยกลับมติศาลปกครองกลางที่มองว่าไม่มีความผิด
รวมถึงกรณี “นายใหญ่” ไม่ได้รับอนุญาตจากศาลอาญา ให้ออกไปต่างประเทศ เพื่อเจอ “โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้นำสหรัฐอเมริกา รวมถึง “แพทยสภา” เตรียมนัดประชุมวันที่ 12 มิ.ย. เพื่อลงโทษ 3 หมอที่เกี่ยวข้องกับการรักษา “พ่อนายกฯ” ด้วยลางบอกเหตุล่วงหน้าเช่นนี้ จับตาดูศุกร์ 13 มิ.ย.นี้ “ทักษิณ” จะถูกสะกดจับลงหม้อ ดังเช่นแม่นาคพระโขนงหรือไม่ เพื่อคืนความปกติให้บ้านเมือง หลังศาลฎีกาฯนัดไต่สวนปมชั้น 14 ว่าบังคับโทษจำคุก 1 ปีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่