แม้หลายฝ่ายจะไม่ได้สนับสนุนให้มีสงครามเกิดขึ้น เพราะคนที่ต้องได้รับผลกระทบมากที่สุดคือประชาชนอยู่อาศัยตามแนวชายแดนของทั้ง 2 ประเทศ แต่มองว่าท่าทีของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยควรจะชัดเจนมากกว่านี้ สามารถเดินเกมรุกได้โดยไม่ต้องประกาศสงครามไม่ว่าจะเป็นการใช้มาตรการทางการทูตหรือเศรษฐกิจในการกดดันกัมพูชา แต่กว่ารัฐบาลจะใช้มาตรการเหล่านี้ได้ก็โหมกระพือไฟในประเทศไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. ที่ผ่านมา คณะหลวมรวมประเทศไทยของ “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธาน นปช. จัดเวที “ประเทศไทยมีปัญหา เป็นเวลาของคนไทย ร่วมฟังวาระเพื่อชาติ” ที่รวมบรรดาตัวจี๊ดในวงการก่อม็อบที่ทำให้การเมืองไทยอยู่ในวังวนวัฏจักรแห่งความวุ่นวายมาเกือบ 2 ทศวรรษ และสุดท้ายจบลงที่การรัฐประหารแช่แข็งประชาธิปไตย
ไม่ว่าจะเป็น “หมอวรงค์”นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อัญชลี ไพรีรักษ์ อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ พล.ต.อ.เสริพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย นายแก้วสรร อติโพธิ อดีต สว. นายเจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการทางกฎหมาย เป็นต้น มารวมตัวในเวทีเดียวกัน
งานนี้ต้องเรียกว่ายกระดับเป็นเวที “รวมมิตร” หลังจาก “ตู่ จตุพร” กับ “สนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ประกาศกอดคอจับมือกันสู้กับ “นายใหญ่”ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการรวมเอากลุ่มคนที่เคยอยู่ขั้วตรงข้ามทางการเมืองในอดีตที่ฟาดฟันกันอย่างเอาเป็นเอาตายแบบเจ็บจริงตายจริง ทั้งคนเสื้อเหลือง เสื้อหลากสี หรือสลิ่มมาร่วมวงกันรุมถล่ม นายใหญ่ นายกฯอิ๊งค์ และรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ในเรื่องความขัดแย้งไทย-กัมพูชา และปมชั้น 14 ที่กำลังเดือดอยู่ในเวลานี้ โดยกล่าวหาแรงว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยกำลังจะทำให้ไทยเสียดินแดนให้กัมพูชา พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลลาออกหรือเปลี่ยนรัฐบาลหากแก้ปัญหาไม่ได้
โดย “ตู่ จตุพร” อดีตคนเคยรักพรรคเพื่อไทย ออกตัวว่า เรื่องดินแดนเป็นเรื่องระหว่างรัฐกับรัฐ กองทัพกับกองทัพ การที่ออกมาเคลื่อนไหว ไม่ได้ต้องการเรียกร้องให้เกิดการรัฐประหาร อย่างที่ปลุกกระแสกันอยู่ในขณะนี้ แต่ในวันนี้ได้เวลาของคนไทยในการปกป้องประเทศ ไม่ใช่การเรียกร้องรัฐประหาร ซึ่งในแผ่นดินนี้ใครที่เรียกร้องรัฐประหาร ก็เป็นเพราะความอ่อนแอของนายกรัฐมนตรี และการ สทร.ของพ่อนายกฯ ทุกเรื่อง และการไม่รู้เรื่องอะไรเลยของรัฐมนตรี
ดังนั้นสถานการณ์นี้รัฐบาล “แพทองธาร” จะดูเบาไม่ได้ หากมัวสาละวนแต่กับแก้ปัญหาการเมืองภายในพรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะศึกแย่งเก้าอี้ ครม. โดยละเลย “กิจการบ้านเมือง”ในเรื่องปัญหาชายแดนรอบด้านโดยเฉพาะฝั่งกัมพูชาที่สร้างกระแสความคลั่งชาติให้กับคนไทยบางกลุ่มได้ทุกเมื่อ อาจเป็นเหตุให้ไปกวักมือเรียกทหารมาทำ “รัฐประหาร”ก่อนจะออกไปรบกับเพื่อนบ้านหรือไม่ และไม่รู้จะยังเหลือกลุ่มไหนบ้างที่จะออกมาปกป้องรัฐบาล.