เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. นายวีรศักดิ์ โชติวานิช อุปนายกฝ่ายเทคโนโลยีและสารสนเทศ รองเลขาธิการสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้ความรู้ด้านกฎหมายเกี่ยวกับการบังคับตามคำพิพากษาที่ไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดว่า ประเด็นที่สังคมกำลังให้ความสนใจเกี่ยวกับกระบวนการบังคับโทษจำคุกในคดีที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด โดยเฉพาะกรณีของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ตามหลักกรมราชทัณฑ์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลอย่างเคร่งครัด หากฝ่าฝืนหรือไม่ดำเนินการตามคำสั่งศาล อาจเข้าข่ายการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
นายวีรศักดิ์ อธิบายว่า คำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกเป็นคำสั่งที่ศาลมีอำนาจสูงสุดแล้ว หน่วยงานราชทัณฑ์มีหน้าที่เพียงบังคับตามนั้น ไม่สามารถตีความหรือใช้ดุลยพินิจเพื่อเปลี่ยนแปลงได้ เว้นแต่จะมีพระราชทานอภัยโทษ หรือเหตุพิเศษที่มีกฎหมายรองรับ เช่น การขอลดหย่อนโทษตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ หรือ พ.ร.ฎ.อภัยโทษที่ประกาศใช้ในโอกาสสำคัญ
กรณีที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก แต่ปรากฏว่าผู้ต้องโทษไม่ได้ถูกควบคุมตัวตามคำสั่งศาล อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ หรือการใช้ดุลยพินิจของราชทัณฑ์เกินขอบเขต หากผลการพิสูจน์ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าราชทัณฑ์ละเว้นหรือไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ศาลสามารถมีคำสั่งให้บังคับคดีตามคำพิพากษาได้ทันที และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอาจต้องรับผิดตามกฎหมาย
นายวีรศักดิ์ กล่าวต่อว่า แม้ราชทัณฑ์จะมีกฎหมายเฉพาะในการจัดชั้นนักโทษ พิจารณาลดโทษ หรือล้างมลทิน แต่สิ่งเหล่านั้นสามารถทำได้หลังจากมีการปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้วเท่านั้น หากไม่มีการดำเนินการควบคุมตัวตามคำพิพากษาศาลแต่แรก การใช้กระบวนการของราชทัณฑ์ต่อจากนั้นถือเป็นโมฆะ และศาลสามารถมีคำสั่งให้ควบคุมตัวใหม่ได้
ทั้งนี้ เมื่อศาลพิพากษาแล้ว ราชทัณฑ์จะนำตัวจำเลยเอาไปควบคุมตัว ซึ่งกระบวนการของราชทัณฑ์มีกระบวนการกฎหมาย อํานาจ ตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ มีอํานาจในการจัดลําดับจัดชั้นของนักโทษ ถ้าเป็นนักโทษชั้นดีจะได้พิจารณาในการลดวันลงโทษ อยู่ที่ว่านักโทษปฏิบัติตัวดี เชื่อฟัง ช่วยเหลือราชการในการส่วนราชทัณฑ์หรือโอกาสต่างๆ วันสําคัญของประเทศไทย เราจะมีพ.ร.บ.ล้างมลทิน พ.ร.ฎ.อภัยโทษบ้าง ซึ่งจะเปลี่ยนโทษที่เคยถูกพิพากษาทอนลงมา ทอนลงไป เป็นเหตุให้บางทีสังคมสงสัยมองว่า ทำไมศาลยุติธรรมพิพากษาลงโทษแล้ว เหตุใดราชทัณฑ์ถึงไม่ปฏิบัติตามคําพิพากษาของศาล
“ประเด็นตรงนี้ส่วนใหญ่นักกฎหมายจะเข้าใจทุกคน ตนเห็นควรให้ประชาชนทั่วไปได้รู้ด้วยว่ากรมราชทัณฑ์นั้นมีอํานาจพิเศษ ไม่ใช่ว่าไม่เคารพคําพิพากษาของศาล ถ้าเรามองในแง่ของ “ทัณฑวิทยา” พ.ร.บ.ราชทัณฑ์เป็นประโยชน์ให้คนที่ถูกศาลพิพากษาลงโทษ”
อย่างไรก็ตาม ต้องเข้าใจว่าไม่ใช่ทุกคนที่ทำผิดกฎหมายมีเจตนาร้ายที่จะกระทําความผิดในทางอาญาเสมอไป บางครั้งก็เกิดจากภาวะแวดล้อม โดนบีบบังคับจากหลายปัจจัยบางคนทำผิดโดยพลั้งเผลอ โดยโง่เขลาเบาปัญญา นักโทษที่พลาดพลั้งในชีวิต ทำผิดกฎหมายจากการรักเพื่อนพรรคพวก รวมทั้งคนที่ถูกลงโทษจากกระบวนการยุติธรรมที่มันไม่สมบูรณ์ จับแพะรับบาป ทัณฑวิทยาจะเข้ามามีส่วนในการเยียวยาบางสิ่งบางอย่าง หากกลับตัวได้ในระหว่างถูกควบคุมตัวก็ได้โอกาสลดโทษจากคําพิพากษาศาลที่เกิดขึ้นจากกฎหมาย พระเมตตาพระราชทานอภัยโทษ ลดโทษ แล้วออกไปใช้ชีวิตในสังคมอย่างปกติสุข ซึ่งเป็นหลักทั่วไป
“ถ้าเกิดทุกคนต้องติดคุกเท่ากับคําพิพากษาของศาล ทุกคนที่อยู่ในนั้นอย่างอึดอัดแล้วไม่ให้ความร่วมมือผลจะเป็นยังไง อะไรจะเกิดขึ้น ดังนั้น นี่จึงเป็นกฎหมายพิเศษ ของ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ เรื่องควบคุมตัวเป็นกฎหมายพิเศษของราชการ ที่จะมีคณะกรรมการ อธิบดี รองอธิบดีของกรมราชทัณฑ์ ผู้บัญชาการเรือนจํา หน่วยงานภาคสังคมและอื่นๆ เข้ามาช่วยพิจารณา ในการลดโทษ”
เมื่อถามว่าหากมีผลออกมาว่ามีหน่วยงาน หรือบุคคลไม่ปฎิบัติตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาล จะมีขั้นตอนอย่างไรต่อไป นายวีรศักดิ์ ระบุ เรื่องนี้มีหลักการเหมือนกันหมด ถึงแม้จะเป็นคดีทั่วไป หากมีการร้องไปที่ศาลว่าราชทัณฑ์ไม่ทำตามคําพิพากษาของศาล การใช้อํานาจของราชทัณฑ์เป็นการใช้อํานาจที่ไม่ถูกต้อง ศาลก็มีคําสั่งที่จะให้ดําเนินการบังคับให้ทำตามคําพิพากษาของศาลคือ ศาลลงโทษจำเลยอย่างไร จำเลยก็จะต้องปฎิบัติตาม หากสั่งจำคุกศาลก็ต้องออกหมายขังใหม่ให้กับราชทัณฑ์
“ยกตัวอย่างง่ายๆ มีจำเลยคนนึงถูกศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดแล้ว ศาลตัดสินจำคุกจำนวนเท่านี้ ถ้าราชทัณฑ์ปฎิบัติไม่ถูกต้อง ไม่มีการจำคุกควบคุมตัวจำเลยคนนั้นเลย จนกระทั่งถึงวันพ้นโทษ แล้วจำเลยคนนั้นก็กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ นี่คือที่เรียกว่า ไม่มีการบังคับตามคําพิพากษาของศาล เมื่อเกิดการตรวจสอบแล้วว่าจำเลยไม่เคยถูกขังเลย ก็ต้องนำตัวมาลงโทษตามคำพิพากษาต่อไป”

ส่วนราชทัณฑ์ หรือเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องจะต้องมีกระบวนการตรวจสอบ และลงโทษตามมาตรา 157 ละเว้นหรือปฎิบัติหน้าที่มิชอบ การที่ราชทัณฑ์ไปดําเนินการที่ไม่ชอบ เป็นการฝ่าฝืนตามกฎหมาย ศาลพิจารณาข้อเท็จจริงแล้วก็ต้องให้มาเริ่มต้นในการบังคับตามคำพิพากษาใหม่ หากศาลตัดสินไปเด็ดขาดแล้ว แต่ตัวจําเลยไม่ต้องทำตามคำสั่งของศาล การตีความแบบนั้นคงไม่ใช่กระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย
เมื่อถามว่ามองเรื่องการโดนจํากัดพื้นที่ คนเยี่ยม อยู่แต่ในห้องเล็กๆ ถือเป็นการถูกจําคุกหรือถูกกักขังหรือไม่ นายวีรศักดิ์ เผยว่า การอยู่ในเรือนจำ การปฏิบัติตามราชทัณฑ์ก็คือการขัง ขอตั้งสังเกต คือ เหตุที่จะต้องไปอยู่รพ.ภายนอก โดยหลักแล้ว ในส่วนราชทัณฑ์ก็มีรพ.ของราชทัณฑ์อยู่แล้ว หากพักรักษาตัวที่นั้นก็ไม่มีปัญหา เพราะอยู่ในรั้วของเรือนจํา แต่การที่ถูกส่งตัวไปที่อื่นนอกเรือนจํา มีขั้นตอนกระบวนการ มีเหตุสําคัญฉุกเฉินแค่ไหน ถึงจะต้องพักด้านนอก
หากทุกอย่างเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ถูกต้องสมบูรณ์ ในประเด็นนี้ก็ถือว่าผ่านการอยู่ในเรือนจำที่เป็นสถานพยาบาลก็มีการควบคุมตัว พอออกไปรักษาภายนอกก็มีกระบวนการควบคุมตัวด้วยเช่นกัน ถ้าดําเนินการตามหลักเกณฑ์ แต่ว่าเรื่องกับเกิดขึ้นกับบุคคลที่มีชื่อเสียง แล้วไม่เข้าเกณฑ์ปัญหาสุขภาพ ไม่อยู่ภายใต้กฎการควบคุมตัวนอกสถานที่ ซึ่งต้องดูจากพยานหลักฐาน
“ตนมองว่าหากผิดไปจากหลักข้อกำหนดก็ถือว่าเป็นโมฆะ ไม่นับเป็นวันที่ถูกคุมขัง ในเรื่องของการควบคุมตัวในปัจจุบันทําได้ตามกฎหมายหลายรูปแบบ จะอยู่ในเรือนจํา หรือกักบริเวณที่บ้าน ติดกําไลอีเอ็ม ทั้งหมดถือเป็นการควบคุมตัวเหมือนกัน แล้วประเด็นที่เกิดขึ้นตอนนี้อยู่ภายใต้เงื่อนไขเหล่านีัหรือไม่ ตนก็คงต้องรอดูผลการพิจารณาของศาลฎีกาที่จะเกิดขึ้น”
อย่างไรก็ตาม เมื่อคดีใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นมา ถือเป็นเรื่องดีให้คนมาศึกษาให้มีการเรียนรู้ไปด้วย เกิดการตื่นตัวจากหลายด้าน หลายฝ่าย นอกกระบวนการยุติธรรมบังคับใช้กฎหมายแล้ว ยังโยงไปเกี่ยวข้องกับวงการแพทย์ด้วย.