เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนภายหลังศาลฎีกานัดไต่สวนนัดแรก ถึงการรักษาตัวชั้น 14 ที่โรงพยาบาลตำรวจ ว่า วันนี้เป็นวันที่พวกเราในฐานะที่เป็นฝ่ายจำเลย ที่ศาลได้มีหมายนัดแจ้งมาเพื่อที่นัดพร้อมหรือนัดไต่สวน จากเดิมที่เราไม่รู้ และไม่ทราบว่าจะดำเนินการพิจารณาอย่างไร วันนี้มีความชัดเจนขึ้นในหลายๆ ส่วน ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีผู้ที่ออกให้ความเห็นต่อสาธารณะ และมีการคาดการณ์คาดคะเนต่างๆ นานา ก็เป็นคำถามของหลายฝ่าย วันนี้ศาลได้กรุณากำหนดแนวทางที่เป็นรูปแบบและชัดเจนว่าต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร
นายวิญญัติ กล่าวต่อว่า วันนี้ศาลได้ไต่สวนพยาน 1 ปาก คือ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ คนปัจจุบันเสร็จแล้ว หลังจากนั้นตนเองได้ซักถาม เป็นกระบวนการปกติของทางศาลคดีการเมือง อย่างไรก็ดี ศาลเห็นว่ายังมีข้อเท็จจริงจำนวนพอสมควรที่ศาลจะต้องแสวงหาความจริง และหลักฐานต่างๆ เพื่อเข้ามาประกอบการวินิจฉัยในคดี โดยพยานบุคคล 20 ปาก ที่ศาลมีหมายเรียกให้มาให้การไต่สวนต่อไป ซึ่งเป็นไปตามกรอบระยะเวลา และศาลได้ให้โอกาสจำเลย ซึ่งตนเองได้ยื่นแถลงขอเสนอพยานบุคคล เพื่อประกอบการชี้แจงต่อศาล ซึ่งเบื้องต้นศาลให้เขียนคำแถลงเข้าไป ซึ่งก็จะพิจารณาอนุญาตหรือไม่ เป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากว่าศาลได้พูดชัดเจนว่าให้โอกาสจำเลยอยู่แล้วในการใช้สิทธิเต็มที่
ส่วนศาลให้ความชัดเจนอย่างไร นายวิญญัติ กล่าวว่า เดิมตนเองเหมือนคนตาบอดคลำช้าง ไม่รู้เลยว่าศาลจะมีพิจารณาอย่างไร แต่ก่อนหน้านี้ มีการเรียกพยานหนึ่งปาก คือ ผบ.เรือนจำ และคาดว่าคงไต่สวน ผบ.เรือนจำ แต่หลังจากนั้นศาลให้โอกาสในการไต่สวน หรือไต่สวนพยานบุคคลอื่นๆ หรือไม่ ดังนั้น การที่มีการไต่สวนหลายนัดพร้อมกัน เป็นเรื่องที่ศาลกำลังแสวงหาความจริง ไม่ได้รับฟังกระแสสังคม ตนเองก็เชื่อว่าศาลเห็นว่ากระแสสังคมก็วิพากษ์วิจารณ์กัน แต่ศาลก็พยายามหาความจริงหลักฐานบุคคลที่เกี่ยวข้อง ว่าเรื่องราวเกิดขึ้นอย่างไร ไม่ใช่ว่าวันนี้มาฟังแล้วตัดสินเลย แต่หลายคนว่าต้องกลับไปติดคุก นั่นก็เป็นเรื่องที่คาดคะเนกัน
ส่วนการนัดไต่สวนหลายนัด ประเด็นที่ศาลให้น้ำหนักดูเป็นคุณกับจำเลยหรือไม่ นายวิญญัติ กล่าวว่า ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นคุณหรือเป็นโทษ แต่สิ่งที่ตนเองยืนยันได้วันนี้คือ ความจริงคือท่านป่วย และได้รับการบังคับโทษตามหมายของศาลครบถ้วนแล้ว และถูกปล่อยตัวออกมาแล้วทั้งหมด คือกระบวนการที่เกิดขึ้นภายใต้กฎหมายของประเทศไทย
นายวิญญัติ อธิบายถึงกระบวนการที่นายทักษิณผ่านมา ว่า ตั้งแต่เดินทางกลับมาถึงประเทศไทย ได้มอบตัว และส่งไปราชทัณฑ์ เข้าเรือนจำแล้ว อยู่ในกระบวนการการบังคับโทษเบื้องต้นแล้ว หลังจากนั้นมีอาการป่วยแทรกซ้อนขึ้นมาจากอาการป่วยเดิมและเกิดหลังจากภาวะที่เข้าไปอยู่ในสถานที่ที่ถูกจำกัด เกิดอาการเครียดทางร่างกาย และมีปฏิกิริยาเกิดขึ้น ก็ได้รับการตรวจอย่างน้อยสามเวลา ซึ่งไม่ใช่เรื่องไม่ปกติ หรือถูกเตรียมการไว้ แต่เป็นมาตรฐานทั่วไป หลังจากนั้นเมื่อถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาล ก็มีการรับตัว และกระบวนการหลังจากนี้ เป็นการจำคุกตามมาตรา 55 ของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้ขอพระราชทานอภัยโทษ และระหว่างการพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ก็พักรักษาตัว และตลอดเวลามีการควบคุมตัวโดยเรือนจำ
และเมื่อถึงเวลาที่มีอนุกรรมการพิจารณาการพักโทษ ซึ่งต้องเป็นผู้ถูกคุมขังเป็นนักโทษเด็ดขาด ซึ่งผ่านกระบวนการของรัฐมาหมด ซึ่งก็ได้พักโทษและออกไป ในวันที่ 18 ก.พ. 67 โดยยังเป็นนักโทษเด็ดขาดที่ได้รับการลงโทษ ซึ่งต้องรายงานตัวต่อกรมคุมประพฤติ ถ้าผิดระเบียบหรือผิดวินัยก็อาจถูกส่งเข้าเรือนจำเหมือนเดิม นายทักษิณ ในฐานะที่เป็นผู้ต้องขังดี ได้รับการจำคุกมาแล้ว และตนเองขอขีดเส้นใต้ว่า นายทักษิณ เป็นนักโทษเด็ดขาดที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ถึงผ่านการพิจารณาแล้วว่าได้รับการอภัยโทษ จึงได้รับการพิจารณาปล่อยตัว นอกจากนี้หากศาลสงสัยหรือมีข้อเท็จจริงใด การป่วยส่งตัวอย่างไร เป็นเรื่องที่ศาลจะใช้ดุลพินิจในการไต่สวนอีกครั้ง
เมื่อถามว่าได้ติดต่อกับนายทักษิณ แล้วหรือไม่ ภายหลังผ่านการไต่สวนนัดแรก และจะมีการนำตัวนายทักษิณมาเบิกความที่ศาลฎีกาเอง นายวิญญัติ ปฏิเสธการตอบคำถาม
‘ชาญชัย-นกเขา-หมอตุลย์’ สังเกตการณ์ไต่สวน ‘ทักษิณ’ ชี้มีสิทธิขยายเวลา โยงมติแพทยสภา
ส่วนที่ศาลเรียกมติของแพทยสภาเมื่อวานนี้ จะส่งผลต่อคดีนี้หรือไม่ นายวิญญัติ ระบุว่า คนละประเด็นกับที่ศาลไต่สวน แพทยสภา เป็นเรื่องของหมอกับหมอ แพทยสภาก็เป็นหมอ ใช้กระบวนการตามข้อบังคับของตน และมีการตรวจสอบเรื่องจริยธรรมต่างๆ แต่จะมีชัดเจน หรือความเคลือบแคลง ไม่เป็นกลางหรือไม่ ตนเองไม่มีความเห็น ทุกท่านไปหาความเห็นเอง แต่ยืนยันว่าเป็นคนละกรณีกับที่ศาลไต่สวน ซึ่งแพทยสภาไม่เคยปฏิเสธว่านายทักษิณ ไม่ได้ป่วย เพียงแต่มีคำว่าวิกฤติหรือไม่วิกฤติ ซึ่งไม่ใช่ประเด็น ในทางกฎหมายก็ไม่มีคำนี้ และเป็นดุลพินิจของแพทย์แต่ละคนในการวินิจฉัยส่งตัว หากผิดจริยธรรม ต่อไปแพทยสภาก็ต้องระวังตัวว่าการใช้มติแบบนี้จะเป็นมาตรฐานใหม่หรือไม่ และแพทย์ 2 ท่าน ก็ยังต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมได้คือการยื่นศาลปกครอง
ส่วนการเบิกความพยานบุคคลนั้น ตนว่าเป็นคำถามที่ดีแต่อยากขอสงวนไว้ ซึ่งตนเองเห็นรายชื่อที่ศาลขอมาวันนี้แล้ว ซึ่งตนเองต้องอ้างบุคคลที่ไม่ซ้ำกับที่ศาลเรียกมาแน่นอน แต่จะเป็นใครบ้าง ขอไม่เปิดเผยเวลานี้ และการที่เราขอศาลมา ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอนุญาตทุกคน ต้องดูว่าศาลอยากรู้อยากทราบหรือไม่ ซึ่งยังตอบไม่ได้ว่าจะมีกี่ปาก ซึ่งต้องตอบประเด็นถึงกรณีที่บอกว่าไม่ป่วย และเรื่องในทางปฏิบัติทั้งการใช้ดุลพินิจของแพทย์ การใช้อำนาจในการส่งตัวมา
ส่วนเอกสารการรับรองการรักษาตัวที่ต่างประเทศ ทำไมไม่แนบมาตั้งแต่แรก นายวิญญัติ กล่าวว่า ประวัติการรักษาตัวของผู้ป่วย ถือเป็นข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล ถือว่าสำคัญ จำเป็นที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ไม่ใช่ใครก็ขอเปิดเผยและดำเนินการได้ ยืนยันว่ายื่นอย่างแน่นอน และมีการยื่นให้กับแพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์และผู้ตรวจร่างกาย เชื่อว่าที่เรือนจำไม่มียื่นก่อนหน้านี้ เป็นเพราะเป็นข้อมูลที่ต้องได้รับการคุ้มครอง และท่านก็ไม่ยินดีที่จะเปิดเผยหรือคัดลอกสำเนาไป และทำไมถึงไม่ยื่นนั้น เมื่อศาลอยากได้ประวัติ และรอให้ราชทัณฑ์ส่ง ซึ่งก็รอให้ทางราชทัณฑ์ตอบว่ามีบันทึกข้อมูลหรือไม่ ก็เป็นกระบวนการไป
นายวิญญัติ กล่าวต่อว่า หากศาลเรียกเอกสารรับรองการรักษาตัวที่ต่างประเทศ เราก็ต้องส่ง แต่หากไม่ได้เรียกก็เป็นเรื่องที่สงวนสิทธิ์ได้ที่จะไม่ส่ง ส่วนเรื่องใบเสร็จ ต้องถามนายชาญชัย กับพวก ว่าได้มาได้อย่างไร หากเป็นข้อมูลของราชการ ข้อมูลปกปิด ก็ขอให้มีการตรวจสอบ โดยเฉพาะโรงพยาบาลตำรวจ ว่าได้ข้อมูลเหล่านี้มาได้อย่างไร แต่ข้อเท็จจริงคือใบเสร็จ ที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าทำไมน้อย ไม่มีค่ายา โรคของนายทักษิณ เป็นโรคที่เฉพาะด้าน ต้องมีแพทย์ที่เชี่ยวชาญในการดูเรื่องรักษาตัวอยู่ต่างประเทศแล้ว ซึ่งไม่มีกฎหมายใด ห้ามใช้ยาของต่างประเทศ หรือหมอข้างนอก
ส่วนจะมีการส่งเรื่องยื่นต่อศาลธรรมนูญหรือไม่นั้น หากมีการกระทำใดที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ เราอาจใช้สิทธิ แต่ขณะนี้ยังไม่มีการคิด.