“ความสำเร็จเมื่อปีที่ผ่านมาในการสร้างประสบการณ์อันน่าจดจำให้จุดหมายปลายทางอย่างมาเก๊า โดยเฉพาะในแง่จำนวนนักท่องเที่ยวไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปีนี้ MGTO จึงได้ปรับแนวทางการสื่อสารใหม่เพื่อสะท้อนภาพลักษณ์ของมาเก๊าในมิติที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เป็นดั่งเมืองที่มอบประสบการณ์แท้จริงอันหลากหลาย เติมเต็มความสุขให้ทุกประสาทสัมผัสผ่านย่านต่าง ๆ งานหัตถศิลป์ และการผสมผสานทางวัฒนธรรมแบบตะวันออกและตะวันตก” มร. เฉิง ไว ตง รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวมาเก๊า บอกเหตุผล

โดยมีกลยุทธ์ “Tourism+” เป็นหัวใจหลักของแผนส่งเสริมการท่องเที่ยวในมาเก๊า โดยเน้นการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเข้ากับองค์ประกอบสำคัญ เช่น อาหาร (Tourism+Gastronomy), การจัดประชุมและนิทรรศการ (Tourism+MICE), นิทรรศการระดับโลก (Tourism+Events), กีฬา (Tourism+Sports) และวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ (Tourism+Culture & Creativity) เพื่อสร้างประสบการณ์การเดินทางที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวยุคใหม่สำหรับชาวไทยโดยเฉพาะ และ “สายมู” ก็เป็นหนึ่งในความสนใจของนักท่องเที่ยวชาวไทย โดยมีเส้นทาง “เดินมู 8 วัด ทั่วมาเก๊า” ที่สามารถเดินมูได้ทั้งวันแบบ One Day Trip ตั้งแต่เหนือจรดใต้ รวมระยะทางกว่า 5 กม. เป็นเส้นทางแนะนำ
เริ่มต้นที่ “วัดลินฟง” วัดโบราณที่มีอายุกว่า 400 ปีในย่าน Northern District และเป็น 1 ใน 3 วัดเก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า โถงภายในเป็นที่ประดิษฐานขององค์เจ้าแม่ทับทิม และยังมีศาลเจ้ากวนอูตั้งอยู่ ต่อด้วย “วัดเจ้าแม่กวนอิม” วัดเก่าแก่อายุกว่า 600 ปี และเป็น 1 ใน 3 วัดเก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า ภายในเป็นที่ประดิษฐาน องค์เจ้าแม่กวนอิม ที่แต่งเครื่องทรงด้วยชุดเจ้าสาวโบราณทำจากผ้าไหม
จากนั้นไป “วัดจูหลิน” สร้าง-ขึ้นในปี ค.ศ. 1991 เพื่อเป็นเกียรติแก่เทพเจ้า 3 องค์ ได้แก่ พระไภษัชยคุรุ (เทพแห่งการแพทย์) พระโพธิสัตว์เหลียง และพระโพธิสัตว์คุนดี มีความโดดเด่นทางสถาปัตยกรรมแบบจีนที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แห่งความคลาสสิก ต่อที่ “วัดลินไก” วัดเก่าแก่อายุกว่า 200 ปี เป็นที่ประดิษฐานเทพ Pak Tai เทพเจ้าแห่งดินแดนทางเหนือ เชื่อว่าสามารถปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย และอุปสรรคอันตราย
เดินต่อไป “วัดเปากง” ที่สร้างขึ้นหลังจากมีโรคระบาดร้ายในมาเก๊า ในปี ค.ศ. 1889 ของรัชสมัยจักรพรรดิกวังซวี่แห่งราชวงศ์ชิง เชื่อกันว่าหากใครมาไหว้ขอพรกับเทพเจ้าที่วัดแห่งนี้จะช่วยขจัดปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ สุขภาพร่างกายแข็งแรง แล้วไป “ศาลเจ้านาจา” ศาลเจ้าเล็ก ๆ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1888 ตั้งอยู่ใกล้ซากโบสถ์เซนต์พอล เป็นวัดที่บูชาท่านนาจา ผู้พิทักษ์แห่งเด็กและผู้กล้าหาญ เลยต่อไปที่ “วัดซำไกวุยคุน” ตั้งอยู่ใกล้ย่านบาซาร์จีนเก่า ปัจจุบันคือตลาดเซนต์โดมินิกที่ยังคงเก็บกลิ่นอายย่านเดิมไว้ได้อย่างครบถ้วน วัดนี้ยังเกี่ยวข้องโดยตรงกับสมาคมธุรกิจจีนที่มีมาช้านานซึ่งต่อมาได้กลายเป็นหอการค้าจีนในเมือง ปิดท้ายที่ “วัดอาม่า” ที่หลายคนคุ้นเคย สร้างขึ้นปี ค.ศ. 1488 ตั้งแต่สมัยก่อนสร้างเมืองมาเก๊า สร้างขึ้นเพื่อบูชาองค์อาม่า หรือเจ้าแม่ทับทิม ซึ่งเชื่อกันว่า จะให้พรเรื่องความปลอดภัยในการเดินทาง
สำหรับสายอาหาร มาเก๊าเต็มไปด้วยนความหลากหลาย ตั้งแต่สตรีทฟู้ดไปจนถึงภัตตาคารระดับมิชลิน หากตื่นมาแล้วยังไม่รู้ว่ากินอะไรดี แนะนำ Northern District หนึ่งในเขตที่อยู่อาศัยหนาแน่นที่สุดของมาเก๊ากับ 4 พิกัดร้านมื้อเช้าหลากหลายสไตล์ เริ่มร้านแรก “Iat Pan Heong Restaurant” ร้านอาหารสไตล์จีนกวางตุ้งที่คนแน่นตลอดวัน การันตีความนิยมเพราะที่นี่มีแต่คนท้องถิ่น ร้านนี้มีเมนูหลากหลาย โดยเน้นอาหารเช้าสไตล์จีน เช่น โจ๊กปลา โจ๊กหมู บะหมี่น้ำและแห้ง หลากหลายท็อปปิ้ง ก๋วยเตี๋ยวหลอดแป้งนุ่มที่ทำสดใหม่ทุกวัน และยังมีตัวเลือกมังสวิรัติสำหรับคนไม่ทานเนื้อสัตว์
คนชอบติ่มซำต้องไป “Chong Shing” ร้านติ่มซำมิชลินสตรีทฟู้ดในตลาด ที่มีมีซาลาเปาลูกยักษ์แสนอร่อย ใครอยากเดินตลาดเช้าในมาเก๊าต้องมาตามรอยร้านนี้เลย เพราะเป็นร้านดังในตลาดโลคัลที่เปิดซึ้งควันโขมงตั้งแต่ 6.30 น. เมนูแนะนำคือซาลาเปาไส้หมู แป้งนุ่ม ๆ ลูกโต ๆ ก๋วยเตี๋ยวหลอด และขนมจีบ ร้านนี้ไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง ซื้อแล้วยืนกินแถวนั้นได้เลย
หากอยากจิบชาต้อง “Lung Wah Tea House” ร้านน้ำชาสไตล์กวางตุ้งดั้งเดิมที่เก่าแก่ที่สุดในมาเก๊า เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 1962 ร้านนี้เป็นเหมือนไอคอนของย่าน Northern District เพราะตึกของร้านตั้งอยู่ข้าง Red Market ที่นี่มีเมนูติ่มซำและอาหารกวางตุ้งหลากหลาย เหมาะกับการกินกับครอบครัวและกลุ่มเพื่อน ร้านสุดท้ายสำหรับคนที่ชอบมื้อเช้าแบบหนัก ๆ “Chan Kong Kei Roast Duck” ร้านเป็ดย่างสไตล์กวางตุ้งที่ต้องมาลองสักครั้ง มีให้เลือกครบ หมู เป็ด ห่าน ย่างมาอย่างดี หนังกรอบ เนื้อฉ่ำทุกจาน การันตีรสชาติอร่อยไม่แพ้ร้านดัง
ส่วนสายเอ็นเตอร์เทนเมนต์นอกจากจะมีนิทรรศการระดับโลก การแสดงตระการตา และชีวิตยามค่ำคืนแล้ว ช่วงนี้ยังมีอีเวนท์ที่ถูกใจแฟนคลับเหล่าแคแรคเตอร์สุดคิวท์อย่าง “Pop Mart Macao Citywalk” ที่ผสมผสานสายท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ที่จะได้สัมผัสสถาปัตยกรรมและสถานที่ประวัติศาสตร์ของมาเก๊าไปพร้อมกัน โดย 4 แคแรคเตอร์หลักทั้ง Baby Molly, CRYBABY, DIMOO และ LABUBU ได้กระจายตัวอยู่ตามแหล่งวัฒนธรรมต่าง ๆ พร้อมกับพรีเซนต์เมนูเด็ดของมาเก๊าที่ทำให้ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองแห่งอาหารสร้างสรรค์ของยูเนสโก
ขวัญใจอันดับหนึ่งอย่าง LABUBU แห่งป่านอร์ดิก เจ้าของฟัน 9 ซี่และหูแหลม สูง 7 เมตร ได้ยินมาว่าอาหารมาเก๊า-โปรตุเกสเป็นอาหารที่ต้องลอง เลยเสนอตัวมาชวนแฟนคลับไปลองลิ้มด้วย โดยยืนรอเพื่อนไปพบปะอยู่ที่ พื้นที่พักผ่อน Rua do Pai Kok หน้าซุ้มประตูศูนย์ประวัติศาสตร์ Vila da Taipa ขณะที่ Baby Molly เจ้าของดวงตาสีฟ้าใส แก้มป่อง และผมมวยมวยผม ผู้อยากรู้อยากเห็นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและเต็มไปด้วยจินตนาการเกี่ยวกับสิ่งรอบตัว มาพร้อม ‘Almond Cookies’ และ ‘Egg Rolls’ ในมือซึ่งมีโอกาสได้ลิ้มรสมาแล้ว โดยนั่งอยู่ที่ Calçada da Igreja de S. Lázaro
ส่วน CRYBABY เจ้าของหยดน้ำตาที่เป็นตัวแทนของอารมณ์ทุกรูปแบบ จับมือมายืนแนะนำอยู่ที่ Camões Square เพื่อบอกว่าควรไปที่ไหนเพื่อทานวาฟเฟิลที่ “น่าน้ำตาไหล” ที่สุดในมาเก๊า สุดท้าย DIMOO เด็กชายขี้อายที่ค้นพบอาณาจักรแห่งเมฆในความฝันและกลายมาเป็นเพื่อนกับ BABY CLOUD ผู้ชอบผจญภัยรออยู่ที่ St. Augustine’s Square เพื่อชวนให้ลองชิมชาชานเต็งแท้ ๆ ในมาเก๊า นอกจาก 4 จุดที่ว่าแล้วยังมีสถานี Pop Station อยู่ที่ย่านจัตุรัสเซนาโดด้วย โดยจะมีร้านป๊อปอัพสโตร์จำหน่ายสินค้า และจัดแสดงโมเดล Molly ธีมมาเก๊าอย่าง Mega Space Molly Egg Tart เหล่าเด็ก ๆ จะรอพี่ ๆ มาเยี่ยมเยือนยาวนานถึง 108 วัน ตั้งแต่ 6 มิถุนายนถึง 21 กันยายน 2568
และหากมีโอกาสได้ไปลิ้มลองอาหารเช้าย่าน Northern District ช่วงนี้ก็มีงาน “Flora Fête with Sanrio characters” ที่ขนทัพสมาชิกของซานริโอตัวดัง ๆ ถึง 6 ตัว ได้แก่ Hello Kitty, Cinnamoroll, Kuromi, Hangyodon, My Sweet Piano และ Gudetama มารอให้แฟนคลับไปพบปะอยู่ที่ Iao Hon Market Park ยาวถึงวันที่ 13 ตุลาคม 2568 และไม่ใช่แค่จัดแสดงเหล่าแคแรคเตอร์เท่านั้นยังมีรถบัสคิตตี้แสนหวานให้แฟนคัลบหาโอกาสขึ้นสักครั้งด้วย
เที่ยวมาเก๊าแบบสะดวกสบายไม่ต้องลำบากหาเงินจ่ายค่ารถให้พอดี พก Macau Pass สามารถใช้ขึ้นรถบัสไปไหนต่อไหน แล้วยังใช้ซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ตได้ด้วยรวมถึงร้านอาหารบางแห่ง ซื้อบัตรครั้งแรก 130 MOP เป็นค่าธรรมเนียม 30 MOP อีก 100 MOP เป็นเงินที่สามารถใช้แตะจ่ายได้ เติมเงินครั้งต่อไปขั้นต่ำ 50 MOP หาซื้อได้ทั้งที่ร้านสะดวกซื้อและสนามบินมาเก๊า ใช้เงินไม่หมดอยากขอคืนตรงไปที่ สำนักงาน Macau Pass Customer Service Centre ที่อาคาร Macau World Trade Center Branch แต่จะได้คืนเฉพาะมูลค่าเงินที่เหลือในบัตรเท่านั้น แต่ถ้าไม่ต้องการขอคืนเพราะยังมีแพลนกลับมามาเก๊าอีก บัตรมีอายุใช้งาน 3 ปี