เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กว่า ขณะนี้พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ ได้มอบหมายให้สภาการศึกษา (สกศ.) ไปดำเนินการสำรวจและวิจัยการเพิ่มอัตราเงินอุดหนุนให้แก่โรงเรียนขนาดเล็กว่าอัตราการเพิ่มเงินที่เหมาะสมควรจะเป็นจำนวนเท่าไหร่ โดยให้แยกโรงเรียนขนาดเล็กแต่ละขนาดของจำนวนนักเรียน ซึ่งเท่าที่ทราบในเบื้องต้นสภาการศึกษาอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล และอาจจะนำรูปแบบการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กของต่างประเทศมาเป็นแนวทางในการบริหารจัดการด้วย ซึ่งคาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปทั้งหมดในเร็วๆนี้

เลขาธิการกพฐ.กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ที่ผ่านมาการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)  ได้มอบหมายให้สำนักนโยบายและแผนพัฒนาการศึกษาของสพฐ. ไปสำรวจค่าใช้จ่ายเฉพาะด้านขั้นพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ค่าสาธารณูปโภค ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าไฟ เป็นต้น ในกลุ่มโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนตั้งแต่ 60 คนลงมา ซึ่งมีประมาณ 6,000 แห่ง โดยเป็นการสำรวจค่าใช้จ่ายดังกล่าวของโรงเรียนขนาดเล็กแต่ละแห่งว่ามีค่าใช้จ่ายจำนวนเท่าไหร่ต่อเดือน และเป็นการแยกออกจากงบอุดหนุนรายหัว เพราะการบริหารโรงเรียนขนาดเล็กให้สำเร็จได้นั้นจะต้องได้รับงบประมาณที่เพียงต่อจำนวนผู้เรียน แต่ที่ผ่านมางบประมาณที่สนับสนุนให้แก่โรงเรียนขนาดเล็กจะเป็นงบอุดหนุนรายหัวเท่านั้น จึงทำให้โรงเรียนขนาดเล็กขาดการจัดสรรงบในการบริหารจัดการที่ไม่เพียงพอ ดังนั้นระหว่างนี้สพฐ.อาจท็อปอัพเงินอุดหนุนรายหัวไปให้โรงเรียนขนาดเล็กก่อน โดยเป็นเงินท็อปอัพเฉพาะด้านค่าใช้จ่ายพื้นฐานที่จำเป็น หลังจากนั้นจะจัดสรรเงินรายหัวที่คำนวณใหม่ต่อไป

“นอกจากการปรับเงินอุดหนุนรายหัวโรงเรียนขนาดเล็กแล้ว สพฐ.จะมีปรับเงินอุดหนุนโครงการอาหารกลางวันนักเรียนด้วย โดยจะมีการตั้งคณะกรรมการวิเคราะห์การปรับเพิ่มงบอาหารกลางวัน เนื่องจากสภาวะทางเศรษฐกิจส่งผลให้ราคาสินค้ามีการปรับขึ้น และที่ผ่านมาหลายฝ่ายสะท้อนว่าการปรับเพิ่มเงินค่าอาหารกลางวันในขณะนี้อาจไม่เพียงพอแล้ว เช่น โรงเรียนที่เด็ก 40 คนลงมาได้ปรับเพิ่มเป็น 41 บาท ขณะที่โรงเรียนที่มีเด็ก 41-100 คนได้ปรับเพิ่ม 27 บาท ซึ่งเท่ากับการปรับเพิ่มดังกล่าวยังมีช่องว่างอยู่” ว่าที่ร้อยตรีธนุ กล่าว