พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กรรมการ กสทช. ด้านกฎหมาย เปิดเผยว่า สถานการณ์อาชญากรรมออนไลน์ในประเทศไทยกำลังกลับมาน่าเป็นห่วงอีกครั้ง หลังตัวเลขคดีทางอาชญากรรมออนไลน์พุ่งสูงขึ้น เกือบเท่ากับสถิติในเดือน ธ.ค. 67 แม้เคยลดลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงเดือน ก.พ. 68 ที่ผ่านมา อันเป็นผลมาจากมาตรการปราบปรามที่เข้มข้นในเดือน ม.ค. 68 ทางสำนักงาน กสทช.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงเร่งหารือและผลักดันมาตรการใหม่เพื่อจัดการกับปัญหานี้อย่างเร่งด่วน เพื่อให้สอดรับตาม ตามพ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 13 เม.ย.68 ที่ผ่านมา

โดย  7 มาตรการเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ประกอบด้วย 1. ตรวจสอบคัดกรองผู้ใช้บริการที่มีลักษณะที่ผิดปกติ แล้วระงับการใช้ทันที (เช่น โทรออกอย่างเดียว, โทรหาผู้รับที่ไม่ซ้ำ , โทรออกจากตำแหน่งเดียวกันทุกครั้ง หรือโทรจากพื้นที่แนวชายแดน)  2. ผู้ให้บริการจะต้องระงับการใช้ทันที ที่ได้รับการแจ้งจาก กสทช. ว่าเป็นเบอร์ที่ต้องสงสัย 3. ผู้ให้บริการมีหน้าที่ตรวจสอบย้อนกลับเบอร์ที่จดทะเบียนใหม่ภายในสัปดาห์แรกว่า ข้อมูลที่รับจดทะเบียนถูกต้องตรงกับข้อเท็จจริงหรือไม่ 4. ผู้ประกอบการ มีหน้าที่ตรวจสอบ เอสเอ็มเอส และ ลิงค์ ก่อนจัดส่ง  5. ผู้ประกอบการต้องมิให้ซิมบ็อกซ์ (Sim box) ที่ไม่ได้รับอนุญาต หรือซิมบ็อกซ์ผี เชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคม

6. มาตรการบริหารจัดการซิมการ์ดสำหรับคนต่างชาติ โดยจำกัดจำนวนการลงทะเบียน ไม่เกิน 3 ซิมการ์ด/คน/ผู้ให้บริการโ และกำหนดให้ใช้พาสปอร์ตในการยืนยันตัวตนเพื่อลงทะเบียนใช้ซิมการ์ดเท่านั้น และ 7. ซิมนักท่องเที่ยว (ทัวร์ริสต์ ซิม) ใช้งานได้ไม่เกิน 60 วัน กรณีต้องการใช้ต่อเนื่อง ภายหลังครบกำหนดระยะเวลาใช้งาน จะต้องลงทะเบียนยืนยันตัวตนกับผู้ให้บริการอีกครั้งหนึ่งก่อน  โดยเตรียมสนอที่ประชุม (บอร์ด) กสทช.เห็นชอบเร็วๆนี้ก่อนออกประกาศอย่างเป็นทางการ  ซึ่งหากผู้ให้บริการโทรคมนาคมปฎิบัติ อย่างครบถ้วน ก็ไม่ต้องรับผิดชอบความเสียหายต่อประชาชนกรณีถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวง เพราะถือว่าได้ป้องกันตามประกาศอย่างเต็มที่แล้ว

“ 7 มาตรการเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตามพ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 จะเน้นไปที่การเข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบอย่างจริงจังของผู้ประกอบการโทรคมนาคมนั้น แต่ขณะนี้ยังไม่มีการบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการเสนอที่ประชุม (บอร์ด) กสทช.ก่อนออกประกาศอย่างเป็นทางการ” พล.ต.อ.ณัฐธร กล่าว

สำหรับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Facebook หรือ YouTube มีบทบาทสำคัญในการป้องกันอาชญากรรม เนื่องจากเป็นเจ้าของเทคโนโลยีและสามารถสร้างมาตรการป้องกันผู้ใช้บริการได้ แต่การดำเนินการขึ้นอยู่กับต้นทุนและความรับผิดชอบ เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์มากขึ้น มาตรการที่เคยเป็นเพียง “การขอความร่วมมือ” จะถูกยกระดับให้มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย หากผู้ให้บริการไม่ดำเนินการ อาจต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น

พล.ต.อ.ณัฐธร กล่าวว่า การแพร่ระบาดของอาชญากรรมออนไลน์ในปัจจุบันมีความซับซ้อนมากขึ้น กลุ่มอาชญากรไซเบอร์มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และกระจายตัว ทำให้การติดตามและจับกุมตัวการใหญ่ทำได้ยาก การจับกุมมักทำได้เพียง “ซิมผี บัญชีม้า” ซึ่งเป็นเพียงปลายเหตุ ไม่สามารถตัดวงจรอาชญากรรมได้อย่างสมบูรณ์ รวมถึงประเทศไทยเองก็เป็นตลาดใหญ่ของแก๊งมิจฉาชีพในการเข้ามาหลอกลวงจากที่ไหนในทั่วโลกได้

นอกจากนี้ แม้กฎหมายเฉพาะของ กสทช. จะมีบทลงโทษทางอาญา แต่การบังคับใช้ยังไม่ครอบคลุม เนื่องจากอาชญากรรมออนไลน์เกี่ยวข้องกับการสื่อสารทั้งระบบ รวมถึงกฎหมายวิทยุคมนาคมและผู้ประกอบการโทรคมนาคม ปัญหาสำคัญคือเจ้าหน้าที่อาจยังไม่เข้าใจกฎหมายเฉพาะเหล่านี้อย่างถ่องแท้ ทำให้การทำงานร่วมกันเป็นทีมระหว่าง กสทช. ตำรวจ และหน่วยงานอื่น ๆ เป็นสิ่งจำเป็น อุปกรณ์โทรคมนาคมที่ไม่ได้รับการตรวจสอบคุณภาพจาก กสทช. ถือว่าผิดกฎหมายตั้งแต่การนำเข้าและการใช้งาน ซึ่งมีโทษทางอาญา

อีกหนึ่งประเด็นที่น่าจับตาคือเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง Starlink ของ Elon Musk ที่ไม่สามารถเข้ามาประกอบการในประเทศไทยได้ เนื่องจากปัญหาเรื่องสัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติ ซึ่งกำหนดว่าต่างชาติต้องถือหุ้น 49%  แต่ Elon Musk ประกาศว่าจะเข้ามาทำธุรกิจในไทยด้วยการถือหุ้นเอง 100 % เขาจึงเลือกไปเปิดให้บริการในประเทศใกล้เคียงกับไทย โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีสถานีตั้งอยู่ในประเทศไทย มิจฉาชีพก็สามารถใช้สัญญาณโทรเข้ามาหลอกลวงคนไทยได้ทำให้ยากต่อการควบคุม