โดยเฉพาะข้อครหาว่า“พวกชินวัตรสนิทกับตระกูลฮุน” เมื่อข่าวไม่ชัด ทำให้เกิดข่าวปล่อย หรือเกิดการจินตนาการไปได้ในแง่ร้ายทั้งหมดว่า “ที่ทางไทยไม่เด็ดขาด ปล่อยให้เขมรให้ข่าวในเชิงลบหลายวัน เพราะรัฐบาลจงใจไม่ทำอะไรให้นำหน้าเขมรหรือเปล่าอดีตนายกฯแม้ว “ทักษิณ ชินวัตร ที่เรียกตัวเองว่า “สทร.”สุดที่รักของฮุนเซ็น ก็ดันเงียบ

จนตอนนี้คนมองว่า  อดีตนายกฯแม้วกลับมาก็เป็นตาแก่ขี้โม้ จะทำโน่นจะทำนี่ แต่ยังไม่เห็นอะไรเป็นรูปธรรม แล้วยังพารัฐบาลงานเข้าเรื่อยๆ เช่น หลอกด่าพรรคร่วมรัฐบาลเวลาไปหาเสียงช่วย อบจ. หรือไปปาฐกถาอะไรต่างๆ ที่ไหน พอมาเรื่องกัมพูชากลับนิ่ง “นายกฯอิ๊งค์”แพทองธาร ชินวัตร ก็พูดได้แค่ว่า“เรากำลังคุยกันอยู่” แต่ไม่ทราบว่า ผลเป็นอย่างไร ?

สำหรับการประชุมนัดพิเศษเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. รัฐบาลก็ได้ขยับตัวเสียที่ แม้ว่าดูจะเป็นฝ่ายตั้งรับ นายกฯอิ๊งค์”บอกว่าได้ตั้งทีมทำงานว่าเราจะปกป้องและตั้งรับอย่างไร และหาข้อมูลต่างๆว่าจะสามารถปกป้องประเทศหรือตอบโต้อะไรยังไงบ้าง เราต้องมีกรอบในการทำงานนี้ตอนนี้เราศึกษาในเรื่องของกฎหมายและประวัติความเป็นมา มีข้อมูลครบแล้ว

ยุคนี้เป็นยุคที่คนเสพสื่อ การทำสงครามข้อมูลข่าวสารเป็น จึงสำคัญมาก ข้อมูลที่สับสนนอกจากจะทำให้ทำงานกันไม่ได้  ยังเกิดความโกลาหลในหมู่ประชาชน ก็ท่าทีไทยมันดูตามหลังกัมพูชาเสียขนาดนั้น มันย่อมมีคนคิดแง่ร้ายได้ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว.อดีตอาจารย์วิทยาลัยสื่อสารการเมือง ม.เกริก มองว่า รัฐบาลไทยสื่อสารสอบตก

“ตั้งแต่เริ่มมีข้อพิพาท  รัฐบาลสื่อสารช้าเกินไป น้อยเกินไป ขาดเอกภาพ ขาดประสิทธิภาพ เห็นได้ชัดจากการสื่อสารที่ไม่รู้ว่าจะฟังใคร เพราะมีทั้งกระทรวงการต่างประเทศและแถลงการณ์ของ รมว.กลาโหม และแถลงการณ์ของทหาร รวมทั้ง X ของนายกฯ  จนไม่รู้ว่า อันไหนคือสื่อสารทางการ  ไม่เห็นการบูรณาการความร่วมมือ รัฐบาล ทหาร กระทรวงต่างประเทศ”

 น.ส.นันทนา ชี้แนะว่า “นายกฯ ควรออกมาสื่อสารในฐานะผู้บัญชาการสถานการณ์ สื่อสารเป็นทางการมากกว่าโพสต์ X  นี่คือการสื่อสารในสถานการณ์ในภาวะวิกฤต จึงควรสื่อสารผ่านสื่อกระแสหลัก โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ  ด้วยสคริปที่เรียบเรียงมาอย่างชัดเจน ไทยเรียกประชุมทูตานุทูตของทุกประเทศในไทย และสื่อสารให้ทราบว่าไทยจะทำอะไรกับสถานการณ์นี้ ชี้แจงกับทูตทั่วโลก ว่าทำไมประเทศไทยถึงไม่ยอมขึ้นศาลโลก  สื่อสารกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC)  ที่เป็นเสาหลักของ UNให้รับทราบว่า กระบวนการในประเทศไทยกับกัมพูชาขณะนี้ ได้เดินตามหลักการที่ถูกต้องอย่างไร เพื่อให้ประชาคมโลกอยู่ฝั่งเรา ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาประชาคมโลกคนอยู่ฝั่งเดียวกับเรา”  

ภายหลังประชุมที่บ้านพิษณุโลก นายกฯอิ๊งค์ก็คงใช้วิธีสื่อสารผ่านช่องทางโซเชี่ยลฯ ของตัวเอง โดยโพสต์ข้อความว่า “ทุกหน่วยงาน ยึดหลักสันติวิธีในการแก้ปัญหา โดยการเจรจาตามกรอบทวิภาคี ดำเนินการทุกอย่างตรงไปตรงมาเพื่อรักษาบูรณภาพทางดินแดน ปกป้องอธิปไตย สร้างสันติภาพตามแนวชายแดน การเจรจาของรัฐบาลไทย เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติสากลผ่านช่องทางการสื่อสารทางการของรัฐ งดเว้นการสื่อสารรายวัน ไม่ยั่วยุหรือท้าทาย เพื่อให้เกียรติประเทศคู่เจรจา”

แต่ในขณะที่“ประเทศคู่เจรจา”ออกอาการรายวัน ฮุน เซ็น ประธานองคมนตรีกัมพูชา แสดงอาการแข็งกร้าว  เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.ก็เพิ่งออกมาพูดอีกว่า “จะไม่มีวันนั่งเจรจากับทางการไทยในประเด็นเกี่ยวกับข้อจำกัดบริเวณชายแดน เพราะเป็นฝ่ายไทยที่เริ่มดำเนินการก่อน กองทัพไทยที่เริ่มจำกัดพื้นที่ชายแดน แล้วพอกัมพูชาทำบ้าง กลับอยากเจรจาเพื่อรักษาหน้าตัวเองอย่างนั้นหรือ ? และ “เราจะไม่ยอมเอาศักดิ์ศรีของเรามาแลกกับความผิดพลาดของคนอื่น!”

ไม่ทราบว่า การที่นายกฯ“คุยกันอยู่”มีผลดีอะไรอย่างไรบ้าง คู่กรณีอยากได้ดินแดนไทยจะได้ผลการพูดคุยเมื่อไร ?  เราต่างก็อยากใช้กลไกสันติภาพ แต่ต้อง“ถ้าพูดกันรู้เรื่อง” และสิ่งหนึ่งที่อยากฝากไว้ คือ“อย่าลืมศักดิ์ศรีของประเทศ”  ในการเจรจาอะไรก็ตาม  นายกฯอิ๊งค์คงจะจำแอคชั่นด่วนของอดีตนายกฯแม้วในคราวที่กัมพูชาเผาสถานทูตไทยได้.