สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากนครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. ว่า นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมานั่งเก้าอี้ในทำเนียบขาวของ ผู้นำสหรัฐส่งเสริมการต่อต้านโครงการดีอีไอ รวมถึงยกเลิกโครงการที่เกี่ยวข้องของรัฐบาลกลางทั้งหมด
เติร์กระบุว่า การเหยียดเชื้อชาติยังคงเป็นภัยร้ายแรง และผู้ที่มีเชื้อสายแอฟริกันยังคงทนทุกข์ทรมาน จากการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ รวมไปถึงการเสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายในบราซิล สหรัฐ และอีกหลายประเทศ
ข้อมูลจากหน่วยงานของเติร์กเปิดเผยอีกว่า ผู้หญิงทั่วโลกเผชิญกับการเลือกปฏิบัติมากกว่าเพศชายถึง 2 เท่า และในบางส่วนของรัสเซียและสหรัฐ สตรีเผชิญกับข้อจำกัดด้านสิทธิอนามัยเจริญพันธุ์อย่างรุนแรง ขณะที่ในอิหร่านและอัฟกานิสถานมีกฎหมายและแนวปฏิบัติซึ่งจำกัดสิทธิของเพศหญิง
United Nations slams 'pushback' against diversityhttps://t.co/7PLi9UonY8
— Buenos Aires Times (@theBAtimes) June 16, 2025
นอกจากนั้น ข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนของยูเอ็น โจมตีข้อจำกัดทางกฎหมาย ถ้อยคำแสดงความเกลียดชัง และความรุนแรงที่มุ่งเป้าไปที่กลุ่มแอลจีบีที โดยเฉพาะในแอฟริกาตะวันตก ซึ่งกำหนดให้ความสัมพันธ์เพศเดียวกันที่สมัครใจกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
ขณะเดียวกัน ผู้อพยพและผู้ลี้ภัยตกเป็นเป้าหมายของถ้อยคำแสดงความเกลียดชัง ข้อจำกัดทางกฎหมายที่ไม่ยุติธรรม การหาแพะรับบาป และการเลือกปฏิบัติรูปแบบอื่น ๆ ในหลายประเทศ
ในสหรัฐ การจับกุมและส่งกลับผู้ที่ไม่มีสัญชาติอเมริกายังถือเป็น “เรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง” โดยเติร์กได้เรียกร้องให้มีการเคารพสิทธิผู้ชุมนุม และปกป้องการบังคับใช้กฎหมายสิทธิมนุษยชน ซึ่งรวมถึง “การไม่เรียกทหารเข้ามาจัดการปัญหาแทนเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน”.
เครดิตภาพ : AFP