เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (วันที่ 17 มิ.ย.) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. พร้อมคณะผู้บริหาร กทม. ปฏิบัติภารกิจวันที่ 2 ในการเดินทางเยือนกรุงโคเปนเฮเกน ราชอาณาจักรเดนมาร์ก ระหว่างวันที่ 16-19 มิถุนายน 2568 ภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและราชอาณาจักรเดนมาร์ก ในด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน

สำหรับภารกิจแรกของวัน ได้ร่วมหารือและเยี่ยมชมการดำเนินงานโรงเผาขยะและสถานีรีไซเคิลของ Amager Resource Center (ARC) ทั้งนี้ ผู้แทน ARC ได้กล่าวว่า โรงเผาขยะของ ARC มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อย ซึ่งควันสีขาวที่ปล่อยออกจากปล่องบนอาคารโรงเผาขยะจะประกอบด้วยไอน้ำร้อยละ 90 และคาร์บอนไดออกไซด์เพียงร้อยละ 10 โดยมีกระบวนการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ ก่อนจะปล่อยควันออกจากโรงเผาขยะ พร้อมกันนี้ยังมีการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อมและพื้นที่สร้างสรรค์ที่หลากหลาย อาทิ สถานีรีไซเคิล (Recycle Station) ซึ่งจะนำขยะจากครัวเรือนที่แยกแล้วมาแยกเพิ่มเติมเป็น 35 ประเภท ด้วยระบบ AI และคัดเลือกขยะที่สามารถรีไซเคิลหรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้มากระจายสู่ประชาชนที่ต้องการนำไปใช้ต่อที่สถานีรีไซเคิล

ส่วนขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้จะถูกนำมาผ่านกระบวนการเผาในโรงเผาขยะเพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานความร้อนและพลังงานไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้แก่ครัวเรือนต่อไป รวมถึงมีการใช้รถเก็บขนขยะที่ใช้พลังงานไฟฟ้า จำนวน 128 คัน ในการเก็บขนขยะครัวเรือน นอกจากนี้ยังมีกระบวนการในการฝังกลบขยะที่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม การจัดการขยะอันตรายที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ มีโรงงานสำหรับรีไซเคิลพลาสติกและการให้ความรู้แก่เยาวชนเกี่ยวกับการแยกขยะด้วย

ส่วนการสนับสนุนพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับประชาชนนั้น ได้ให้ภาคเอกชนสร้างพื้นที่สำหรับการพักผ่อนหรือทำกิจกรรมของประชาชนด้านบนโรงเผาขยะ เช่น จัดสรรพื้นที่สำหรับร้านกาแฟ ลานสกีจำลอง และผาจำลอง ฯลฯ ซึ่งการดำเนินงานของ ARC เป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจหมุนเวียนของเมืองโคเปนเฮเกนด้วย

จากนั้น ผู้ว่าฯ กทม. พร้อมคณะ ได้ร่วมหารือกับบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่ดำเนินงานด้านวิศกรรม สถาปัตยกรรม การออกแบบ และให้คำปรึกษากับภาครัฐและเอกชนทั่วโลก โดยบริษัทนี้มียุทธศาสตร์ในการดำเนินงานระหว่างปี 2022-2026 ได้แก่ การลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อนำไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ การส่งแสริมสังคมที่ยืดหยุ่นและน่าอยู่ การจัดการทรัพยากรและเศรษฐกิจหมุนเวียน และการส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ

นอกจากนี้ ผู้บริหาร กทม. ยังได้หารือเกี่ยวการพัฒนาเมืองเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศพร้อมกับการเป็นเมืองน่าอยู่ร่วมกับบริษัทด้านวิศวกรรมและการออกแบบ จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ 1. องค์กร Sund and Baelt ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ที่ดำเนินการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศเดนมาร์ก และมีส่วนสำคัญในการสร้างแนวป้องกันคลื่นพายุซัดชายฝั่ง (Storm Surge Protection) โดยมีการวิเคราะห์สภาพพื้นที่และความน่าจะเป็นในการเกิดภัยพิบัติในอนาคตเพื่อใช้ในการสร้างแนวป้องกันที่เหมาะสม การสร้างถนนและระบบรางของประเทศเดนมาร์ก และการสร้างอุโมงค์ที่เชื่อมกับประเทศเยอรมนี 2. บริษัทเอกชน นำเสนอการออกแบบและพัฒนาเมืองบนพื้นฐานของความเรียบง่าย ใช้ประโยชน์ได้จริง เชื่อมโยงกับประชาชนและธรรมชาติ โดยแนวทางสำคัญในการพัฒนาเมือง คือ การให้ความสำคัญกับมนุษย์ การต่อยอดองค์ความรู้ การทบทวนแนวคิดดั่งเดิม และการคืนกลับสู่เมือง

ต่อมาได้หารือเกี่ยวกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนร่วมกับผู้แทนจาก Wonderful Copenhagen ซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐ ที่ดำเนินงานด้านการท่องเที่ยวของเมืองโคเปนเฮเกน ที่มีเป้าหมายในการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ และการท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนเพื่อประโยชน์ของเมืองโดยไม่หวังผลกำไร โดยมีโครงการ CopenPay ที่ส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวร่วมกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การปั่นจักรยานไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ การเก็บขยะในคลองและสถานที่ท่องเที่ยว

และการร่วมดูแลสวน ฯลฯ เพื่อนำมาแลกเป็นรางวัลต่างๆ อาทิ อาหารเช้าและขนมฟรีให้แก่นักท่องเที่ยว มีมัคคุเทศก์นำเที่ยวหรือพายเรือคายัคในคลองได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งโครงการดังกล่าว เป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดแนวคิดและพฤตกรรมด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในกลุ่มนักท่องเที่ยว สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของเมืองโคเปนเฮเกน

ในช่วงค่ำ ผู้ว่าฯ กทม. พร้อมคณะผู้บริหาร กทม. ได้เข้าพบและร่วมรับประทานอาหารกับ นางสุพรรณวษา โชติกญาณ ถัง เอกอัครราชทูต ณ กรุงโคเปนเฮเกน โดยเอกอัครราชทูตฯ กล่าวถึงความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและราชอาณาจักรเดนมาร์กในหลากหลายมิติที่มีมาอย่างยาวนาน 167 ปี ซึ่งในการเข้าพบดังกล่าว ผู้ว่าฯ กทม. และคณะ ได้หารือในประเด็นการพัฒนาเมืองอย่างรวดเร็วของเมืองโคเปนเฮเกน ไปพร้อมกับการเป็นเมืองสีเขียว

โดยเอกอัครราชทูตฯ กล่าวว่า เมืองโคเปนเฮเกนเป็นเมืองที่มีการพัฒนาเมืองร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน ซึ่งการดำเนินงานในรูปแบบ Public-Private Partnership ของประเทศเดนมาร์ก เป็นการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพมาก และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การพัฒนาเมืองประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ เมืองโคเปนเฮเกน เมืองหลวงของประเทศเดนมาร์ก ได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลกประจำปี 2025 โดย Economist Intelligence Unit (EIU) ซึ่งเป็นการประเมิน 173 เมืองทั่วโลกตาม 30 ตัวชี้วัดใน 5 หมวดหมู่หลัก ได้แก่ ความมั่นคง (Stability), การดูแลสุขภาพ (Healthcare), วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม (Culture and Environment), การศึกษา (Education) และโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) เมืองโคเปนเฮเกนสามารถทำคะแนนได้สมบูรณ์แบบ 100 คะแนนในสามหมวดหมู่หลักคือ ความมั่นคง การศึกษา และโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้แซงหน้าเมืองเวียนนา เมืองหลวงของประเทศออสเตรีย ที่ครองอันดับหนึ่งมาต่อเนื่องหลายปี.